วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

windows: ถอด Win7 ออกจาก Vista?

เพียงแค่เข้าไปใน MSCONFIG แล้วคลิกแท็บ BOOT.INI จากนั้นคลิกปุ่ม "Check All Boot Paths" ซึ่งถ้า Windows XP พบว่า มี OS ตัวใดตัวหนึ่งไม่มีอยู่ในระบบแล้ว มันก็จะลบออกจากรายการบู๊ตตอนเปิดเครื่องให้ทันที

แต่พอมาเป็น Vista หรือ Windows 7 คุณจะไม่พบปุ่มที่ว่านี้ แต่คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยสองมือเปล่าเช่นเดียวกัน เริ่มต้นด้วยการคลิกปุ่ม Start แล้วพิมพ์ MSCONFIG จากนั้นกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด คลิ้กแท็บ Boot ซึ่งตรงนี้จะเห็นรายชื่อ OS ที่ทำ dual-boot ซึ่งตอนนี้คุณจะไม่สามารถลบบรรทัด Windows 7 ออกไปได้ทันที เนื่องจากมันถูกกำหนดให้เป็นโอเอสที่บู๊ตตอนเริ่มต้น (default) หากปล่อยให้มันบู๊ตเอง ดังนั้นคุณต้องเลือกบรรทัด Vista ก่อน แล้วคลิกปุ่ม Set as Default จากนั้นคลิ้กปุ่ม Apply คราวนี้เลือกบรรทัด Windows 7 ใหม่ แล้วคลิ้กปุ่ม Delete ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้วล่ะครับ

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

windows: หยุด!!!อย่าเพิ่งชัตดาวน์

เชื่อว่า คุณผู้อ่านน่าจะเคยประสบกับเหตุการณ์ต่อไปนี้กันมาบ้าง ขณะที่คุณกำลังรีบปิดเครื่องด้วยการเลือกคำสั่ง Shutdown แต่ด้วยความร้อนรนก็เลยเลือกผิดเป็น Restart กลายเป็นว่า แทนที่จะได้ไปทำธุระโดยเร็ซ กลับต้องรอให้มันเริ่มต้นทำงานขึ้นมาก่อนแล้วค่อยสั่ง Shutdown กันใหม่อีกทีหนึ่ง...เฮ่อ...
คงจะดีนะครับ หากเราสามารถหยุดการชัตดาวน์ หรือรีสตาร์ทขณะนั้นได้ แทนที่จะต้องนั่งรอ ซึ่งสำหรับใครที่ติดตามทิปของ arip เป็นประจำคงจะจำยูทิลิตี้ shutdown.exe ได้ งานนี้มันเป็นพระเอกให้เราอีกแล้วล่ะครับ

ในโปรแกรม shutdown.exe จะมีสวิทช์การทำงานอยู่ตัวหนึงนั่นคือ -a ซึ่งมันจะสังให้ Windows ยกเลิกการชัตดาวน์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น (โอ้ว...ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคำสั่งแบบนี้ด้วย) ดังนั้นหากคุณ หรือเพื่อนสนิทชอบสะเพร่าปิดผิดปิดถูกอยู่เป็นประจำ หรือชอบฉุกคิดได้ระหว่างชัตดาวน์ว่าต้องทำอะไรอีกก่อนปิดเครื่อง สำหรับวิธีที่สะดวกทีสุดก็คือ การทำชอร์ทคัตไว้บนเดสก์ทอป ทันทีที่นึกได้ว่า ยังไม่อยากชัตดาวน์ขณะนั้นก็แค่ดับเบิ้ลคลิ้กให้ยูทิลิตี้ทำงาน วินโดวส์ก็จะหยุดกระบวนการชัตดาวน์ทันที ข้างล่างนี้คือคำสั่งที่ต้องพิมพ์เข้าไปในตอนสร้างชอร์ทคัตครับ

windows 7: บางอย่างที่เปลี่ยนไป?

ผู้ใช้บางท่านอาจจะคุ้นเคยกับวิธีลาก (drag) ไฟล์ข้อมูลไปวาง (drop) บนไอคอนโปรแกรมที่อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Quick Launch (ไอคอนโปรแกรมเล็กๆ ที่อยู่ถัดจากปุ่ม Start บน Taskbar) ซึ่งโปรแกรมจะถูกเปิดขึ้นมาพร้อมกับโหลดไฟล์ข้อมูลเข้าไปให้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเป็น Windows 7 มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณคิด?
อย่างไรก็ตาม การเปลียนแปลงที่เกิดขึ้นใน Windows 7 ก็ไม่ถึงกับสลัดทิ้งคุณสมบัติการทำงานดังกล่าวออกไปเลย เพียงแต่เพิ่มขั้นตอน หรือต้องออกแรงอีกนิดหน่อย โดยเมื่อคุณลากไฟล์ข้อมูลไปวางบนไอคอนโปรแกรม แทนที่จะเห็นเครื่องหมายบวกปรากฎขึ้นมา มันกลับตั้งคำถามกับคุณว่า ต้องการทำชอร์ทคัตสำหรับไฟล์ข้อมูลกับแอพพลิเคชันนี้ หรือไม่?(Pin to Application)

เมื่อลองคลิ้กขวาบนไอคอนโปรแกรมใน Quick Launch คุณจะพบว่า ไฟล์ข้อมูลดังกล่าวได้ปักหมุด (Pin) กับแอพพลิเคชันเรียบร้อยแล้ว ดังรูป

แต่อย่างที่บอกแล้วว่า Windows 7 ไม่ถึงกับใจไม้ใส้ระกำตัดขาดฟีเจอร์นี้ไปเลย เพียงแต่มันไม่ได้เป็นค่าดีฟอลต์ของการทำงาน หากคุณต้องการเปิดไฟล์ข้อมูลด้วยโปรแกรมใน Quick Launch ให้กดปุ่ม Shift ค้างไว้ด้วยขณะลากไฟล์มาวาง ซึ่งคราวนี้มันจะเปลี่ยนคำถามเป็น "Open with Application" แทน

หวังว่า ใครที่กำลังลองใช้ Windows 7 อยู่แล้วสงสัยว่า ฟังก์ชันนี้มันหายไปไหน? คราวนี้ก็คงจะได้คำตอบกันแล้วนะครับ ว่ามันยังอยู่...แค่ต้องออกแรงกดปุ่ม Shift เพิ่มเท่านั้น

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กำจัด"คุ้กกี้"ปีศาจ!!!

คุ้กกี้ (Cookies) คือไฟล์ข้อความ (text file) ขนาดเล็กที่ถูกทิ้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้้ใช้ โดยเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งวัตถุประสงค์โดยทั่วไป เพื่อให้เว็บไซต์จดจำผู้ใช้ได้เวลากลับเข้ามาเยี่ยมชมในครั้งต่อไป แต่บางเว็บไซต์ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงแค่นั้น...
ปกิตเวลาที่ผู้ใช้เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ มันมักจะมีการทิ้งไฟล์ข้อความขนาดเล็กที่เรียกว่า "คุ้กกี้" ทิ้งไว้ในเครื่อง ซึ่งบราวเซอร์ทุกตัวจะสามารถลบคุ้กกี้เหล่านี้ออกไปได้ แต่อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นแล้วว่า คุ้กกี้บางชนิด มันไม่ได้มีไว้แค่จดจำผู้ใช้เวลากลับมาเยี่ยมชมเท่านั้น โดยเฉพาะคุ้กกิ้ที่เว็บไซต์โฆษณาทิ้งไว้ในเครืองของเรา ซึ่งมันจะใช้คุ้กกี้ในการติดตาม (tracking) ว่า คุณได้เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ใดบ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมความสนใจของคุณ โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว และไม่รู้อีกด้วยว่าจะเลือกกำจัดคุ้กกี้พวกนี้ออกไปได้อย่างไร?
Cookienator ฟรีแวร์ที่ช่วยสแกนหา คุ้กกี้วายร้ายที่ทางเว็บไซต์โฆษณาทิ้งไว้ติดตามการท่องเว็บของคุณ อย่างเช่น Google, AOL, Yahoo, MSN, Webtrends, Omniture, Doubleclick, Intellitxt, Advertising.com เป็นต้น ซึ่งหลังจากที่มันสแกนคุ้กกี้พวกนี้ขึ้นมาได้ครบแล้ว ผู้ใช้สามารถสั่งลบได้ภายในคลิ้กเดียว Cookienator สนับสนุนผู้ใช้บราวเซอร์แทบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น IE, Firefox, Chrome และ Safari สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่
ทิปจาก : www.arip.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

7 วิธีถนอมพลังงานแบตฯโน้ตบุ๊ก

สำหรับวินทิปในครั้งนี้ ขอเสนอวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยถนอมพลังงานแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊กที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP ให้สามารถใช้งานได้นานขึ้น ไม่หมดเร็วเกินไป...
ถ้าพบว่า โน้ตบุ๊กที่รัน Windows XP ของคุณมีปัญหาใช้พลังงานแบตเตอรี่หมดค่อนข้างเร็ว (กรณีนี้แบตฯ ต้องไม่เก่า หรือเสื่อมสภาพแล้วนะครับ) ทำให้ต้องคอยรีชาร์จอยู่บ่อย เทคนิค 7 ข้อต่อไปนี้น่าจะช่วยคุณได้ ลองนำไปปฏิบัติดูนะครับ
1. ตรวจสอบแบตเตอรี่ที่ใช้ว่ายังคงสามารถชาร์จพลังงานได้เต็ม หรือไม่? ซึ่งขั้นตอนของการทดสอบโดยทั่วไปให้ชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มก่อน (ดูจาก Power Meter ใน Power Options) จากนั้นปิดโน้ตบุ๊ก ถอดแบตเตอรี่ออก เพื่อทดสอบว่า มันยังสามารถชาร์จประจุได้เต็ม หรือไม่? โดยมองหาปุ่มที่ใช้ทดสอบที่อยู่บนแบตเตอรี่ ซึ่งบางรุ่นก็จะมีส่วนแสดงผลเล็กๆ ให้สังเกตุได้ง่าย ทั้งนี้จะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ของผู้ผลิตแต่ละเจ้า
2. ถ้าไม่จำเป็นต้องออนไลน์กับเครือข่ายใดๆ แนะนำให้ออฟไลน์จะดีกว่า (ยกเลิก (disable) การเชื่อมต่อกับเครือข่าย) การเชื่อมต่อเครือข่ายตลอดเวลาจะทำให้โน้ตบุ๊กต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติ
3. ถอดอุปกรณ์ USB ออกจากพอร์ต เมื่อไม่ได้ใช้งาน
4. ยกเลิกโพรเซสแบคกราวด์ที่ไม่จำเป็นออกให้หมด อย่างเช่น Rnaap ซึ่งถูกโหลดตอนไดอัลอัพ และค้างอยู่ในหน่วยความจำ หรือ Msmsgs.exe กรณีที่คุณไม่ได้ใช้ Microsoft Messenger เป็นต้น แต่ห้ามยกเลิกโพรเซสของซอฟต์แวร์ไฟร์วอล หรือแอนตี้ไวรัส เพราะมันจะทำให้ระบบของคุณตกอยู่ในความเสี่ยง นอกจากนี้ยังห้ามลบโพรเซสที่สำคัญของ Windows XP ซึ่งได้แก่ Explorer.exe, LSASS.EXE, services.exe, System และ WINLOGON.EXE ส่วนวิธีกำจัดโพรเซสที่ไม่จำเป็นให้เรียกโปรแกรม Task Manager (กดปุ่ม Ctrl-Alt-Del) แล้วคลิกแท็บ Processes เลือกโพรเซสที่ต้องการลบออกจากหน่วยความจำ คลิกปุ่ม End Process
5. เปลี่ยน Screensaver เป็น “Blank Screen” เพราะมันไม่จำเป็นเลยที่คุณต้องเสียพลังงาน เพื่อแสดงภาพดอกไม้ไฟ, ตู้ปลา หรือข้อความเลื่อนลอย
6. ถึงคุณจะไม่สามารถยกเลิกโพรเซสการทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส แต่ก็ไม่ควรกำหนดให้ซอฟต์แวร์สแกนระบบโดยสมบูรณ์ขณะที่ไม่ได้เสียบปลั๊ก เพราะมันจะทำให้พลังงานของแบตฯ หมดเร็วจนน่าใจหายเลยล่ะ (กรณีของการสแกนหาสปายแวร์ด้วย)
7. สำคัญที่สุดคือ เมื่อเวลาที่โน้ตบุ๊กไม่อยู่ในระหว่างการใช้งาน แนะนำให้ชัตดาวน์ระบบ หรืออาจจะเข้าโหมดแสตนด์บาย (standby) หรือไฮเบอร์เนต (hibernate) จะดีกว่าการเปิดเครื่องทิ้งไว้เฉยๆ เชื่อว่า หากปฏิบัติตามเทคนิคง่ายๆ ทั้ง 7 ข้อนี้แล้ว คุณจะสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่บนโน้ตบุ๊กได้นานขึ้น ไม่ต้องชาร์จบ่อยเหมือนแต่ก่อน ลองไปทำดูนะครับ สำหรับวิธียืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ แนะนำให้ใช้พลังงานจากแบตเตอรีให้หมดทุกครั้ง แล้วจึงชาร์จใหม่จนเต็ม และเมื่อเต็มแล้วก็ควรใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แทนการเสียบปลั๊กต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เพราะแบตฯจะเสื่อมเร็วครับ

ยืดอายุแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กให้อยู่กับคุณนานๆ

ก่อนอื่นต้องชี้แจงก่อนว่า อายุแบตเตอรี่ในที่นี้หมายถึง อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่พวกมันเสื่อมสภาพ (โดยไม่ได้ลุกไหม้ไปเสียก่อน) สำหรับวินทิปในตอนนี้ขอแนะนำวิธีเก็บรักษา และใช้งานแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานพวกมันได้นานเท่าที่ควร

แบตเตอรี่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก เพราะถ้าขาดมัน หรือใช้แบตฯที่เสื่อมสภาพ (ชาร์จนานแต่หมดไว) คงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุด ซึ่งความจริงของชีวิตที่คุณปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันก็คือ โน้ตบุ๊กส่วนใหญ่รวมถึงอุปกรณ์พกพาอิเล็กทรอนิกส์ต่างก็ใช้แบตเตอรี่ที่เป็นลิเธียมอิออน (Li-ion) กันแทบทั้งนั้น โดยแบตฯ พวกนี้จะเริ่มเสื่อมสภาพตามกาลเวลาตั้งแต่วันผลิต และจะเสื่อมลงไปอย่างต่อเนื่องตามจำนวนครั้งของการชาร์จ ประเด็นก็คือ ราคาของแบตเตอรี่พวกนี้ค่อนข้างสูงพอสมควร ซึ่งหากเปรียบเทียบการเปลี่ยนแบตเตอรี่กับการหาวิธียืดอายุให้พวกมันใช้งานได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนอย่างหลังจะน่าสนใจกว่ามาก ข้อเท็จจริงต่อไปนี้จะช่วยให้ทุกท่านมีวิธีที่จะดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้อยู่กับคุณได้นานขึ้นครับ สำหรับศัตรูตัวแรกของแบตเตอรี่ Li-Ion ก็คือ "ความร้อน" ยกตัวอย่างผลการทดสอบที่ออกมาพบว่า แบตเตอรี่ Li-ion ที่ได้รับการชาร์จไฟปกติ และถูกใช้งานที่ระดับอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียสจะมีความสามารถเก็บประจุได้ลดลงแค่ 2% เท่านั้น เมื่อใช้งานไป 1 ปี และความสามารถในการเก็บประจุจะลดลงเป็น 6% ในปีที่ 2 แต่นั่นคงเฉพาะผู้ใช้โน้ตบุ๊กแถวบริเวณขั้วโลกเหนือ (หรือใต้) เท่านั้น เพราะหากพิจารณาที่อุณหภูมิห้อง 25 องศาเซลเซียส (ติดแอร์) แค่ปีแรก ความสามารถในการเก็บประจุของแบตเตอรี่ก็จะตกลงไปถึง 4% และจะลดฮวบลงไปถึง 20% ในปีที่สอง การดิสชาร์จประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่จนแทบไม่เหลือ (ใช้แบตฯจนหยดสุดท้าย) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อายุใช้งานของพวกมันสั้นลง โดยการชาร์จ และดิสชาร์จจนหมดประมาณ 100 ครั้ง จะลดความสามารถในการเก็บประจุของแบตเตอรี่ลงไปได้มากถึง 75% เลยทีเดียว กล่าวโดยสรุป สำหรับวิธีที่ดีทีสุดที่จะช่วยคุณยืดอายุใช้งานแบตเตอรี่ให้ได้ยาวนาน 3 – 5 ปี ก็คือ ข้อแรก พยายามให้แบตเตอรี่ได้อยู่ในที่เย็น อย่าเก็บโน้ตบุ๊กไว้ในรถที่จอดอยู่กลางแจ้ง ข้อต่อมา พยายามรักษาระดับการชาร์จประจุไว้ที่ 40% – 50% อย่าให้เหลือน้อยกว่านี้แล้วจึงชาร์จ ในกรณีที่คุณมีแบต 2 ก้อนสลับกันใช้ สำหรับก้อนที่ยังไม่ได้ใช้งานอาจเก็บไว้ในตู้เย็น แต่ไม่ถึงกับต้องไว้ในช่องแช่แข็งนะครับ โดยห่อหุ้มด้วยวัสดุป้องกันความชื้น ซึ่งหลังจากนำออกมาตู้เย็น ให้รอจนมันมีอุณหภูมิเท่ากับห้องก่อนใช้งาน แบตเตอรี่ของคุณจะแข็งแรงมีอายุใช้งานนานขึ้น (หมายถึง เสื่อมช้าลงนั่นเอง) อ้อ...และถ้าคุณมีความจำเป็นต้องซื้อแบตเตอรี่ใหม่ อย่าลืมตรวจสอบวันผลิตด้วย ที่สำคัญหลีกเลี่ยงการซื้อแบตเตอรี่ที่ตกค้างในสต๊อก และอย่าลืมตรวจสอบหมายเลขซีเรียลของแบตฯด้วยว่า ไม่ตรงกับชุดแบตเตอรี่ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ด้วยนะครับ

วินโดวส์ต้องการหน่วยความจำเสมือน?

จู่ๆ คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ก็แจ้งเตือนว่า “Windows is increasing your virtual memory” ซึ่งดิฉันไม่เข้าใจความหมายของมันจริงๆ ค่ะ แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดีคะ?

Virtual memory หรือหน่วยความจำเสมือน ซึ่งถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมาตามฟังก์ชันของมันแล้ว ผมว่า น่าจะเรียก “หน่วยความจำสำรอง” มากกว่า เนื่องจากเวลาที่คอมพิวเตอร์ใช้หน่วยความจำหลักที่มากับเครื่อง (RAM: Random Access Memory) ไปจนเกือบหมดแล้ว ระบบปฏิบัติการก็จะใช้วิธียืมพื้นที่บางส่วนของฮาร์ดดิสก์ (ราคาถูกกว่าหน่วยความจำ แต่ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลช้ากว่า) มาใช้แทนหน่วยความจำที่ระบบต้องการ กรณีที่คอมพิวเตอร์มีความจำเป็นต้องใช้หน่วยความจำเสมือนมากๆ จะทำให้ทั้งระบบทำงานได้ช้ามาก เพราะมันต้องคอยลบ และเขียนข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์แทนหน่วยความจำหลัก แถมยังมีเสียงรบกวนเนื่องจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์อีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม หน่วยความจำเสมือนไม่ได้เป็นสิ่งไม่ดีนะครับ เนื่องจากระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่จะทำงานในระบบหลายงาน (multitasking) ซึ่งระบบจะทำงานโดยจับแอพพลิเคชันที่คุณกำลังใช้ไว้ใน RAM เพื่อให้ทำงานได้เร็ว ในขณะที่โยนแอพพลิเคชันที่คุณยังไม่ได้ใช้ขณะนั้นไว้บนฮาร์ดดิสก์ (บริเวณที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำเสมือน) ก่อนที่จะสลับมันมาลงหน่วยความจำหลัก (RAM) อีกทีหนึ่ง เมื่อคุณเรียกใช้โปรแกรมนั้นๆ ประเด็นก็คือ เมื่อคุณจำเป็นต้องรันโปรแกรมหลายตัว และต้องเรียกใช้งานกลับไปกลับมาบ่อยครั้ง คุณจะรู้สึกเบื่อกับการรอคอยให้โปรแกรมแต่ละตัวสลับกันเข้าออกจากหน่วยความจำหลักกับหน่วยความจำเสมือน (ฮาร์ดดิสก์) อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย

สำหรับวิธีปัญหาที่เกิดขึ้นก็คุณอย่างมีประสิทธิภาพก็คือ การติดตั้งหน่วยความจำหลักเข้าไปในระบบ เนื่องจากระบบกำลังเตือนว่า ขนาดของหน่วยความจำเสมือนที่กำหนดไว้ไม่พอแล้ว ซึ่งปกติคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows XP หรือ Mac OS X ควรจะมีหน่วยความจำอย่างน้อย 512MB อย่างไรก็ตาม ก่อนติดตั้ง RAM เพิ่มเติม อยากให้สแกนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณก่อนด้วยว่า ไม่ได้ถูกแอบเขมือบหน่วยความจำโดยไวรัส สปายแวร์ หรือแอดแวร์ต่างๆ เพราะไม่งั้น การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นก็เป็นได้ ขอให้โชคดีในการแก้ปัญหานะครับ

ปัญหาคอมพ์อืด...บู๊ตนาน 5 นาที!!!

คอมพิวเตอร์ที่ผมใช้ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows XP Home เหตุการณ์ล่าสุดคือ มันใช้เวลาในการบู๊ตเครื่องประมาณ 5 นาที ซึ่งมันเป็นอย่างนี้มาได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้ว ไม่ทราบว่า มันถึงเวลาที่ผมควรจะทำความสะอาดฮาร์ดดิสก์ครั้งใหญ่ โดยแบคอัพ แล้วลงโปรแกรมทุกอย่างใหม่หมดใช่ไหมครับ?

ฟังๆ ดูมันก็อาจถึงเวลาที่คุณว่าแล้วก็ได้ แต่ก่อนจะตัดสินใจทำเช่นนั้น ผมอยากแนะนำให้ลองทำอะไรบางอย่างก่อนดีกว่าครับ เผื่อว่า บางทีคุณอาจจะเข้าใจผิด ขั้นแรกเปิดยูทิลิตี้ Windows Configuration โดยพิมพ์คำสั่ง msconfig เข้าไปในไดอะล็อกบ๊อกซ์ Run ในเมนู Start (คลิกปุ่ม Start เลือกคำสั่ง Run หรือกดปุ่ม Windows + R) ในแท็บ General คลิกยกเลิกรายการที่อยู่ภายใต้ “Selective Startup” ซึ่งได้แก่ Process SYSTEM.INI File, Process WIN.INI File, Load System Services และ Load Startup Items ทีละรายการ แล้วลองรีบู๊ตเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นสังเกตความแตกต่าง ถ้าการบู๊ตยังคงช้าเหมือนเดิม ให้คุณคลิกเลือกรายการนั้นซ้ำ แล้วคลิกยกเลิกรายการถัดไป

การตรวจสอบในลักษณะนี้จะช่วยให้คุณมีโอกาสทราบได้ว่า รายการใดที่ยกเลิกแล้ว คอมพิวเตอร์ของคุณสามารถบู๊ตเครื่องได้เร็วขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคุณพบตัวการของปัญหาแล้ว ให้คลิกแท็บที่มีชื่อตรงกัน ซึ่งภายในแท็บดังกล่าวก็จะมีรายการต่างๆ ที่ถูกโหลดในขั้นตอนการบู๊ตอีกจำนวนหนึ่ง ให้คุณทดลองเหมือนขั้นตอนแรก กล่าวคือ คลิกยกเลิกทีละรายการแล้วลองบู๊ตเครื่องใหม่ จนกว่าจะพบตัวการที่ทำให้บู๊ตเครื่องช้ามาก ถ้าคุณไม่ทราบชื่อของรายการที่เป็นตัวการ ลองค้นหาใน Google และหากเครื่องคอมพิวเตอร์บู๊ตได้เร็วเป็นปกติเหมือนแต่ก่อน ก็แนะนำให้ยกเลิกเช็คบ๊อกซ์ตัวการนั้นซะ หากคุณทดลองทำตามขั้นตอนทั้งหมดนี้แล้ว คอมพิวเตอร์ของคุณยังคงบู๊ตช้าเหมือนเดิม ก็คงได้เวลาล้างท่อแล้วล่ะครับ

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

windows: อยากอัพเกรดใช้ Windows 7

จากข้อมูลบนหน้าเว็บของไมโครซอฟท์บอกว่า ความต้องการพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถรัน Windows 7 ได้จะต้องมีหน่วยความจำอย่างน้อย 1GB และโพรเซสเซอร์ที่มีความเร็วขั้นต่ำ 1GHz นอกจากนี้ ระบบยังต้องการพื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ 16GB สำหรับการติดตั้ง ในกรณีทีใช้โพรเซสเซอร์ 64Bit จะต้องมีหน่วยความจำอย่างน้อย 2GB และมีพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ 20GB ซึ่งคงจะใช้รันโอเอสได้ แต่จะใช้งานได้อย่างทีใจต้องการ หรือเปล่า? อันนี้ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ไม่แน่ใจนะครับ


อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ได้แจกฟรีโปรแกรมที่ใช้ตรวจสอบความพร้อมของฮาร์ดแวร์ ชื่อว่า Windows 7 Upgrade Advisor Beta โดยคำแนะนำสำหรับการใช้โปรแกรมนี้จะอยู่ในบล็อก Windows ซึ่งผู้่สนใจสามารถเข้าไปอ่านคำแนะนำต่อกันได้
ในกรณีที่คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Vista การอัพเกรดไปใช้ Windows 7 เมื่อมันวางตลาด ทำได้ไม่ยากเลย โดยคุณสามารถอัพเกรด Vista ไปเป็น Windows 7 ได้โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลออกมาก่อน เพื่อติดตั้งโอเอสใหม่เข้าไป ในขณะที่ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows XP จะมีขั้นตอนอัพเกรดยุ่งยากกว่า แม้ว่า Windows 7 จะมาโปรแกรม Easy Transfer ที่ช่วยในการย้ายไฟล์ต่างๆ ก็ตาม แต่คุณก็ยังคงต้องหาฮาร์ดดิสก์ภายนอก (External Hardisk) เพื่อสำรองข้อมูลออกมาก่อน จากนั้นลบทุกอย่างออกไปให้หมดจากฮาร์ดดิสก์ ก่อนที่จะติดตั้ง Windows 7 เข้าไป (ขั้นตอนการล้างเครื่องเพื่อติดตั้งโอเอสเรียกว่า Clean Installation) ยังไม่เสร็จนะครับ เพราะหลังจากที่ติดตั้ง Windows 7 เรียบร้อยแล้ว คุณจะต้องไฟล์ทั้งหมดที่สำรองเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ภายนอกกลับเข้าไป พร้อมทั้งติดตั้งแอพพลิเคชันทั้งหมดที่ต้องการใช้เข้าไปในเครื่องอีกครั้ง...เฮ่อ...แค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

windows: ป้องกันใครแอบเขียนแผ่นซีดี

ถาม: พอดีว่าหนูกับน้องชายตัวแสบต้องใช้โน้ตบุ๊กเครื่องเดียวกันค่ะ ระยะหลังหนูจับได้ว่า น้องชายชอบทำหน้าใหญ่แอบเขียนแผ่นซีดีเพลงไปให้เพื่อนอยู่เรื่อยเลย พอจะมีวิธีป้องกัน หรือยกเลิกการเขียนแผ่น หรือเปล่าคะ? อ้อ...โน้คบุ๊กของหนูเป็น Windows Vista Home Premium ค่ะ (ความจริงพ่อของหนูบอกว่า แก้ไขได้ค่ะ แต่อยากให้หนูลองหาวิธีด้วยตัวเองก่อน ก็เลยมาถามดูค่ะ)

ตอบ: สงสัยหนูคงจะเอือมสุดๆ กับน้องชายเต็มที สำหรับวิธีป้องกันที่ถามมานั้นไม่ยากครับ เพียงแต่ต้องทำอย่างใจเย็นนิดนึง เนื่องจากมันเข้าไปยุ่งกับรีจิสทรี (registry) ของระบบปฏิบัติการ ซึ่งหลังจากแก้ไขตามขั้นตอนข้างล่างนี้แล้ว น้องชายตัวแสบของน้องจะไม่สามารถเขียนแผ่นได้อีกต่อไป จนกว่าจะแก้กลับเป็นเหมือนเดิม สำหรับวิธียกเลิกฟังก์ชันการเขียนและบันทึกแผ่นดีวิดี/ซีดี มีขั้นตอนดังนี้
1. กดปุ่ม Windows + R พิมพ์คำสั่ง regedit แล้วกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด
2. คลิกเข้าไปที่ HKEY_CURRENT_USER Software Microsoft Windows CurrentVersion Policies Explorer
3. ในกรอบด้านขวามือ เลื่อนพอยน์เตอร์เมาส์ไปที่บริเวณว่างๆ แล้วคลิกขวา เลือกคำสั่ง New ตามด้วย DWORD (32-bit) Value จากนั้นตั้งชื่อคีย์ว่า NoCDBurning




4. ดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการที่สร้างขึ้นมา ในช่อง Value data: ให้ป้อนค่า 1 เข้าไป แล้วคลิ้กปุ่ม OK

เพียงแค่นี้ เจ้าน้องชายตัวแสบก็ใช้ฟังก์ชันเขียนแผ่นไม่ได้แล้วล่ะครับ สำหรับการรีเซตให้ใช้งานได้เหมือนเดิมก็แค่แก้ค่าของ NoCDBurning ให้เป็น 0 แล้วรีสตาร์ท ฟังก์ชันเขียนแผ่นก็จะกลับมาพร้อมใช้งานเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ แต่ถ้าทำเองไม่ได้จริงๆ ก็ลองให้คุณพ่อช่วยดูก็ดีนะครับ

ทิปจาก : www.arip.co.th

Hardware: RAM เสีย? วิสต้าเช็คได้

ถาม: พอดีว่า ผมเพิ่งให้เพื่อนเพิ่ม RAM เข้าไปในคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows Vista ปรากฎว่า หลังจากนั้นระบบการทำงานก็เริ่มมีปัญหา บางทีก็รีสตาร์ทเครื่องซะงั้น พอจะมีวิธีตรวจสอบ หรือเปล่าครับว่า มันเป็นปัญหาจาก RAM ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ หรืออาจมีสาเหตุอย่างอื่นๆ อย่างไวรัสน่ะครับ?

ตอบ: สำหรับอาการที่เกิดจากการมีหน่วยความจำ (RAM) ที่ผิดปกติอยู่ในคอมพิวเตอร์นั้น สามารถแสดงออกได้หลายลักษณะ ซึ่งรวมถึงการที่จู่ๆ โปรแกรมทีใช้งานอยู่ก็ปิดการทำงานลงทันที หรือแม้แต่การเกิดจอน้ำเงินมรณะ BSOD (Blue Screen Of Death) นอกจากนี้ การที่ผู้ใช้ไม่อัพเดตแอนตี้ไวรัส ทำให้โดนไวรัสเข้าไปพักอาศัยในเครื่องมากมาย ยังอาจะส่งผลให้คอมพิวเตอร์แสดงอาการแปลกๆ ออกมาได้เช่นกัน แต่ถ้าก่อนหน้าที่จะเพิ่ม RAM เข้าไปในเครื่อง ระบบไม่เคยล่มบ่อยๆ มาก่อนเลย มันก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า หน่วยความจำที่ซื้อมาอาจมีปัญหาครับ


ความจริงคุณสามารถหาโปรแกรมทดสอบหน่วยความจำจากเว็บไซต์ต่างๆ ได้มากมาย แต่เนื่องจากคุณใช้ Windows Vista อยู่ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่ทราบว่า มันมียูทิลิตี้ตรวจสอบหน่วยความจำที่ชื่อว่า Windows Memory Diganostics Tool ให้มาด้วย เครื่องมือนี้สามารถทดสอบฮาร์ดแวร์ และรายงานปัญหาที่พบได้ ขั้นตอนการเรียกใช้ก็แค่คลิกเมนู Start พิมพ์คำว่า memory ในช่อง Search สังเกตผลลัพธ์จะมีชื่อโปรแกรม Memory Diganostics Tool ขึ้นมา

เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา มันจะมีทางเลือกในการตรวจสอบ 2 แบบคือ รีสตาร์ทเครื่องเพื่อตรวจสอบ RAM เลย หรือให้มีการทดสอบในครั้งต่อไปดังรูป สำหรับผู้ใช้ Windows XP ที่กำลังพบปัญหาเดียวกันนี้ก็สามารถดาวน์โหลด Memory Diagnostics Tool ได้จากเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์

ทิปจาก : www.arip.co.th