วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

การแชร์ Internet ADSL ด้วย ICS (Internet Connection Sharing)

ในยุคสมัยนี้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงหรือ ADSL หลายคนต้องมีใช้งานในบ้านกันอยู่แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนรหัสผ่านมีเพียงชุดเดียว แต่ว่าภายในบ้านมีเครื่องคอมพ์มากกว่า 1 เครื่อง ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตพร้อมๆ กัน นอกเหนือจากการใช้งานเครือข่ายไร้สายแล้ว ผมก็มีวิธีการตั้งค่าแชร์อินเทอร์เน็ต ADSL แบบง่ายๆ มาให้ลองใช้งานกันดูกัน ตามมากันเลย
อันดับแรกก็คงต้องทำให้เครื่องให้สามารถออกอินเทอร์เน็ตได้ก่อน โดยเครื่องนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือโมเด็มเอาไว้สำหรับต่ออินเทอร์เน็ต โดยตัวเครื่องต้องมีระบบเน็ตเวิร์กติดตั้งเอาให้เรียบร้อยก่อน สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ก็คือการแชร์ ICS ซึ่งเป็นฟังก์ชันมาตรฐานสำหรับวินโดวส์เอ็กซ์พีให้ทำงานขึ้นมา ขั้นตอนแรกก็ง่ายๆ ครับ ก่อนอื่นให้เซตอัพการ์ดเน็ตเวิร์กในเครื่องแรกให้มีการเซตอัพค่าหมายเลข IP ก่อน โดยการทำขั้นตอนดังนี้
1. เริ่มแรกคลิกที่ปุ่มสตาร์ต เลือกที่ Control Panelจากนั้นให้เลือกที่ Network Connections


2. คลิกเมาส์ปุ่มขวาที่ Local Area Connection เลือกที่ Properties แล้วก็จะปรากฏหน้าต่าง Properties ของเน็ตเวิร์กขึ้นมา


3. ให้กำหนดค่าของหมายเลขไอพีให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะออกอินเทอร์เน็ต โดยให้เลือกที่ TCP/IP จากนั้นคลิกที่ปุ่ม Properties เพื่อเตรียมกำหนดค่า IP Address โดยเมื่อหน้าต่าง TCP/IP Properties
4. จากนั้นกำหนดหมายเลข IP ให้กับเครื่องเป็น 192.168.0.1 เพื่อกำหนดให้เป็นเครื่องแรก จากนั้นป้อนค่า Subnet Mark โดยให้มีค่าเป็น 255.255.255.0
5. จากนั้นไปกำหนดการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งในที่นี้เราใช้การ Dial up ออกสู่อินเทอร์เน็ต ดังนั้นควรจะติดตั้งโมเด็มและสร้าง Connection สำหรับโมเด็มให้เรียบร้อยก่อนที่เข้าสู่การแชร์อินเทอร์เน็ตวิธีการแชร์อินเทอร์เน็ต
1. เริ่มต้นคลิกที่ปุ่มสตาร์ต จากนั้นเลือก Control Panel แล้วเลือกที่ Network Connection เช่นเดิม
2. ต่อมาให้คลิกขวาที่ไอคอนของไดอัลอัพที่เราจะใช้โมเด็มหมุนออกอินเทอร์เน็ตต่อไปและเลือกที่ Properties
3. จากนั้นให้เลือกที่แท็บ Advanced เพื่อกำหนดการแชร์อินเทอร์เน็ต จะเห็นหน้าต่างของการแชร์อินเทอร์เน็ตขึ้น โดยจะอยู่ในกรอบ Internet Connection Sharing ที่นี้ก็ให้เราคลิกเช็กบ็อกซ์เลือกที่ "Allow other network users to connect through this computer's internet connection" ซึ่งก็จะปรากฏหัวข้ออีกสองอันขึ้นมา "Establish a dial-up connection whenever a computer on my network attempts to access the internet" "หัวข้อนี้จะหมายความว่า จะยอมให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ที่ต่ออยู่กับเน็ตเวิร์กนั้น สามารถไดอัลอัพโมเด็มที่อยู่ในเครื่องหลัก เพื่อออกสู่อินเทอร์เน็ตได้ หากว่าต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือไม่ หากต้องการให้ต้องไดอัลผ่านคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ได้ ก็ให้เช็กบ็อกซ์ที่อยู่ด้านหน้า หรือหากไม่ต้องการก็ให้เอาออกไป
"Allow other network users to control or disable the shared internet connection" หมายถึงว่าให้ผู้ใช้บนเครื่องอื่นๆ นั้น สามารถควบคุมหรือยกเลิกการแชร์อินเทอร์เน็ตในเครื่องหลักได้หรือเปล่า ซึ่งหากไม่ต้องการก็ให้เอาออกไปเช่นเดียวกัน โดยตามปกตินั้น ให้เราเอาหัวข้อทั้งสองออก โดยไม่ต้องไปเช็กบ็อกซ์ นั่นเอง
หลังจากนี้ก็ให้ปิดหน้าต่างทุกหน้าต่างลง เท่านี้การเซตอัพเครื่องสำหรับเตรียมให้บริการแชร์อินเทอร์เน็ตเสร็จเรียบร้อยแล้วขั้นตอนการเซตอัพเครื่องในระบบเครือข่าย
หลังจากที่เซตอัพเครื่องหลักเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมาถึงการเซตอัพเครื่องลูกข่ายเพื่อให้ใช้อินเทอร์เน็ตที่แชร์เอาไว้บ้างล่ะครับ ซึ่งก็เรียกว่าไม่แตกต่างไปจากการเซตอัพเครื่องหลักมากนัก โดยเราจะเน้นกันที่การเซตอัพเน็ตเวิร์กเป็นหลักซึ่งสิ่งที่ต้องการสำหรับเครื่องลูกนี้ก็คือการ์ดเน็ตเวิร์กที่เซตอัพเรียบร้อยสามารถทำงานได้เท่านั้น โดยเครื่องนี้เราไม่ต้องมีโมเด็มก็ได้ เพราะไม่จำเป็นแล้ว
เริ่มต้นด้วยการกำหนดหมายเลขไอพี สำหรับเครื่องที่ 2 โดยทำขั้นตอนเหมือนกับการเซตอัพเครื่องเซิร์ฟเวอร์ แต่เปลี่ยนหมายเลขไอพีให้เป็น 192.168.0.2 แทน โดยกำหนดให้หมายเลข 2 ตัวสุดท้ายที่เปลี่ยนแปลงนั้นหมายถึงเลข IP ประจำเครื่องที่ 2 และหากมีเครื่องมากกว่านี้ ก็ให้กำหนดเพิ่มขึ้นไป เช่น 3, 4, 5 ... นั่นเอง
หลังจากที่เรากำหนดหมายเลขไอพีเรียบร้อยแล้ว ก็ลองเช็กดูว่าเครื่องที่ใช้อยู่นั้น มีหมายเลข IP ตามที่กำหนดหรือไม่ โดยการคลิกที่ปุ่มสตาร์ต จากนั้นเลือกที่ RUN แล้ว พิมพ์คำว่า Command ลงไป ให้ลองตรวจสอบหมายเลขไอพี โดยพิมพ์คำว่า "IPCONFIG" ลงไปที่คอมมานพรอมต์ ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะปรากฏหมายเลข IP พร้อมกับหมายเลข Subnet Mark
ที่นี้ลองตรวจสอบดูว่าเครื่องที่เราเซตอัพอยู่นี้ สามารถมองเห็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการแชร์อินเทอร์เน็ตหรือไม่ โดยการใช้คำสั่ง PING ไปที่ เครื่องหลัก โดยสั่งว่า PING 192.168.0.1 ที่คอมมานพรอมต์ เพื่อตรวจสอบแพ็กเกจข้อมูล เมื่อเครื่องลูกสามารถมองเห็นเครื่องแม่แล้ว
ทีนี้เราก็เหลือขั้นตอนการเซตอัพอยู่อีกขั้นตอนเดียวก็คือการเซตอัพคอนฟิกในIE เพื่อให้ตรวจสอบ Proxy โดยอัตโนมัติ ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเช่นเดียวกัน ขั้นตอนแรกก็เรียก IE ขึ้นมา และให้คลิกที่เมนู Tools และเลือกที่ Internet Options... จากนั้นให้คลิกที่แท็บ Connections แล้วคลิกที่ปุ่ม LAN Settings ซึ่งอยู่ในส่วนของ Local Area Network (LANs) Settings ให้คลิกเช็กบ็อกซ์ "Automatically detect setting" เพื่อกำหนดให้ตรวจสอบ Proxy Server โดยอัตโนมัติ
หลังจากนี้ก็ให้คลิกที่ปุ่ม OK และออกจากการเซตอัพ Internet Options นี้ ซึ่งเท่านี้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มากกว่าสองเครื่องในบ้านคุณ ก็พร้อมจะใช้งานอินเทอร์เน็ตได้โดยใช้แอ็กเคานต์และคู่สายโทรศัพท์เพียงคู่เดียว บนวินโดวส์เอ็กซ์พีแล้ว

































วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

ย่อไอคอนในเมนู Start

ใครที่ใช้ Windows Vista แล้วรู้สึกรำคาญที่เวลาคลิ้กเมนู Start แล้วรายการมันโผล่เด้งสูงขึ้นมาเกือบชนหน้าจอด้านบน สาเหตุก็มาจากไอคอนที่ใช้เมนูนั้นมีขนาดใหญ่นั่นเอง ทิปที่นำมาฝากวันนี้แก้ปัญหาให้ท่านได้ครับ

หลายคนอาจไม่ทราบว่า เราสามารถลดขนาดของไอคอนที่ปรากฎในรายการของเมนู Start ใน Windows Vista ได้ เนื่องจากตัวเลือกในการปรับแต่งจะอยู่เป็นรายการสุดท้ายที่ผู้ใช้ต้องเลื่อน scroll bar ลงมาจนสุดจึงจะพบ สำหรับขั้นตอนการเปลี่ยนไอคอนในเมนู Start ให้เล็กลง เพื่อแถบของรายการจะได้ไม่เด้งสูงจนเกือบชนหน้าจอด้านบนด้วยการเลือกไอคอนขนาดเล็ก สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

เริ่มต้นด้วยการคลิ้กขวาบนพื้นที่ว่างของทาสก์บาร์ เลือกคำสั่ง Properties คลิ้กแท็บ Start Menu แล้วคลิ้กปุ่ม Customize... เลื่อนสกอลบ๊อกซ์ลงมาจนถึงล่างสุดจะเห็นรายการ "Use large icons" คลิ้กยกเลิกเครื่องหมายถูกในเช็คบ๊อกซ์ที่อยู่หน้ารายการนี้ แล้วคลิ้กปุ่ม OK 2 ครั้ง เพียงแค่นี้ ไอคอนในเมนู Start ก็จะเล็กลง และแถบแสดงรายการเมนูก็จะไม่สูงเหมือนเดิมจนบดบังเดสก์ทอปอันสวยงามของคุณแล้วล่ะครับ

กำจัดข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เก่า

อยากทราบวิธีที่ดีทีสุดในการทำลายข้อมูลที่เป็นความลับ ซึ่งอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าค่ะ โดยไม่ต้องการให้ใครสามารถกู้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นขึ้นมาได้อีก รบกวนช่วยแนะนำวิธีทำลาย หรือซอฟต์แวร์ที่จะช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วยค่ะ

คำถามยอดฮิตสลับกับวิธีกู้ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ หรือแฟลชไดรฟ์ เรือยไปจนถึงการ์ดหน่วยความจำในกล้องถ่ายรูปก็คือ การทำลายข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ให้สิ้นซาก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยตอบไปแล้วว่า สามารถใช้ซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า Heidi Eraser หรือไม่ก็ใช้เครื่องทำลายฮาร์ดดิสก์แบบมือหมุนที่ได้เคยนำเสนอไปแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าอยากไฮเทคฯ หน่อยก็ใช้รุ่นข้างล่างนี้ แบบว่า แค่กดปุ่มปุ๊บ ฮาร์ดดิสก์ มือถือ หรือเครื่องเล่นเอ็มพีสาม จะถูกเจาะกดกระแทกเป็น 4 รูทะลุจนไม่สามารถกู้ข้อมูลกลับมาได้อีก

แต่นั่นดูจะเป็นวิธีทีโหดและลงทุนมากไปหน่อย ล่าสุดผมไปพบซอฟต์แวร์ทำลายข้อมูลที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งชื่อว่า Active@killdisk บนเว็บไซต์ killdisk.com ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี โดยซอฟต์แวร์ตัวนี้จะเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมดในฮาร์ดดิสก์ของคุณให้กลายเป็นขยะด้วยการเขียนทับด้วย "0" ตลอดจนทั่วฮาร์ดดิสก์ (เวอร์ชันโปรฯ สนับสนุนถึง 17 มาตรฐานความปลอดภัยในการลบข้อมูล) เหตุผลที่จำเป็นต้องลบด้วยวิธีนี้ก็เนื่องจากเวลาลบไฟล์ใน Windows มันไม่ได้ถูกลบจริงๆ ข้อมูลที่ถูกลบยังอยู่ในฮาร์ดดิสก์ การเขียนทับด้วยข้อมูลอื่นจึงเป็นวิธีลบที่ปลอดภัยที่สุด

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

Firefox: ยกเลิกการเรียกคืน "Session"

ทุกครั้งที่ Firefox 3.5.2 ล่มการทำงาน เวลาเปิดขึ้นมา มันมักจะเรียกคืนหน้าเว็บทั้งหมด (restore session) ก่อนระบบจะเดี้ยงลงไป ซึ่งส่วนตัวผมไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้มากนัก บ่อยครั้ง(พักหลังล่มบ่อยเหลือเกิน)มันทำให้ผมต้องรอโหลดหน้าเว็บที่ไม่ได้อยากดู แต่ยังไม่ได้ปิดก่อนมันเดี้ยง พอจะมีวิธียกเลิกคุณสมบัติการทำงานนี้บ้างไหมครับ?
ก่อนอื่นคงต้องถามว่า แน่ใจนะครับ ว่าต้องการอย่างนั้น ถ้าต้องการจริงๆ ก็จัดให้ได้ครับ โดยขั้นแรกให้คุณเปิดบราวเซอร์ Firefox ขึ้นทำงาน จากนั้นพิมพ์ในช่องแอดเดรสว่า about:config ขั้นตอนต่อไปก็คือ พิมพ์ในช่อง filter เพื่อหารายการที่ระบุว่า browser.sessionstore.max_resumed_crashes ให้ดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการนี้ แล้วกำหนดค่าของมันให้เป็น "0" รีสตาร์ทไฟร์ฟอกซ์ก็เป็นอันเรียบร้อย ซึ่งหลังจากนี้ไป เมื่อ Firefox เดี้ยงขึ้นมาขณะทำงาน เวลาเปิดโปรแกรมขึ้นมาใหม่ มันจะไม่มีการ restore session ให้คุณอีกต่อไปแล้วนะครับ จนกว่าคุณจะแก้กลับคืนเป็นอย่างเดิม...เราเตือนท่านแล้วนะ :p

Windows 7 ปลอดภัยจากช่องโหว่ แต่...

รายงานข่าวล่าสุด ไมโครซอฟท์ได้เปิดเผยถึงคำแนะนำในการป้องกันช่องโหว่ของโพรโตคอล SMB2 ที่พบใน Windows 7, Windows Vista และ Windows Server 2008 ซึ่งได้มีการรายงานข่าวให้ทราบไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ ประเด็นสำคัญที่เปิดเผยออกมา และตรงข้ามกับรายงานข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ก็คือ Windows 7 และ Windows Server 2008 R2 จะไม่โดนหางเลขจากช่องโหว่ดังกล่าว...
แต่สำหรับ Windows 7 RC ที่ออกมาก่อนหน้านี้ รวมถึง Windows Vista ทุกเวอร์ชัน และ Windows Server 2008 จะยังคงตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการโดนโจมตี อันเนื่องจากช่องโหว่ดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่ได้มีการชี้แจงออกมาก็คือ Windows 7 เวอร์ชันสมบูรณ์ได้รับการแก้ไขช่องโหว่ไปแล้วก่อนหน้านี้ (ตอนไหนล่ะ?) หากเป็นตามนี้จริง นั่นแสดงว่า ทางไมโครซอฟท์ต้องทราบเรื่องนี้ล่วงหน้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นทำไมแพตช์ล่าสุดที่ออกมาเมื่อวันอังคาร Windows Vista และ Windows Server 2008 ถึงไม่ได้รับการแก้ไขอุดช่องโหว่ซะให้เรียบร้อย รวมถึงผู้ใช้ที่ลง Windows 7 RC ไปแล้วก่อนหน้านี้
ในส่วนของช่องโหว่ที่พบใน SMB2 ผู้ไม่หวังดีแค่ส่งแพ็คเก็ต (packet) ข้อมูลเพียงชุดเดียว ก็สามารถเจาะเข้าไปในระบบ เพื่อสั่งรันโค้ดจากระยะไกล ตลอดจนการสร้างการโจมตีแบบ DDoS เพื่อทำให้ระบบล่มได้ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานการถูกโจมตีด้วยช่องโหว่นีแต่อย่างใด
ไมโครซอฟท์ได้เปิดเผยถึงวิธีลดปัจจัยเสี่ยงจากการโดนโจมตีด้วยช่องโหว่ SMB2 โดยแนะนำให้ปิดพอร์ต TCP หมายเลข 139 และ 445 ที่ไฟร์วอลล์ในเครื่อง หรือบนเครือข่าย จะสามารถช่วยป้องกันการโจมตีได้ นอกจากนี้คำแนะนำที่เปิดเผยออกมา ยังรวมถึงคำสั่งในการยกเลิกการทำงานของโพรโตคอล SMB2 อีกด้วย
ข้อมูลจาก: pcmag-->

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

windows: Ctrl+F4 มีไว้ทำอะไร?

ถาม: ปกติเรามักจะใช้ Alt+F4 เพื่อปิดหน้าต่างโปรแกรมที่ใช้งานอยู่บน Windows แต่ได้ยินเพื่อนบอกว่า มันมี Ctrl+F4 ด้วยนะ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า มันมีไว้ทำอะไร? ลองกดดูแล้วไม่เห็นจะเกิดอะไรขึ้นเลย ว่าแต่ผมกำลังโดนเพื่อนอำเล่นอยู่หรือเปล่าครับ?

ตอบ: ก่อนอื่นต้อบอกว่า เพื่อนของคุณไม่ได้อำเล่นหรอกครับ Ctrl+F4 มีจริงๆ อย่างไรก็ดี ผมขอถือโอกาสนี้แจกแจงให้ทราบถึงแนวคิด และความแตกต่างของการใช้งานชุดปุ่มควบคุมทั้งสองไปพร้อมกันเลยดีกว่านะครับ

Alt+F4 เมื่อผู้ใช้กดปุ่มนี้พร้อมกัน จะเป็นการสั่งปิดหน้าต่างโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ในขณะนั้น ความหมายของมันจะเหมือนกับการใช้เมาส์คลิกที่ปุ่มกากบาทสีแดงบนมุมขวาของหน้าต่างโปรแกรมนั่นเอง มักจะใช้บ่อยๆ เวลาที่มือไม่ได้อยู่บนเมาส์ เพราะมันคล่องตัวกว่า

Alt กับ Ctrl ใน Windows แต่ก่อนที่ผมจะพูดถึง Ctrl+F4 ว่ามันทำอะไร ขออธิบายแนวคิดของการใช้งานปุ่มทั้งสองนี้ก่อน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านในวงกว้าง ความแตกต่างระหว่าง ATL กับ CTRL ก็คือ ถ้าเป็น ALT จะหมายถึงการควบคุมในระดับแอพพลิเคชัน ส่วน CTRL จะหมายถึงการควบคุมระดับ"ภายใน"แอพพลิเคชัน ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณกด Alt+TAB มันจะเป็นการสลับ(switch)การเลือกหน้าต่างแอพพลิเคชันต่างๆ ที่เปิดใช้งานอยู่ในขณะนั้น แต่ถ้าเป็น CTRL+TAB จะเป็นสลับการเลือกหน้าต่างเอกสารที่อยู่ภายในแอพพลิเคชันที่กำลังใช้งาน เพื่อให้เห็นภาพอีกนิดนึ่ง เช่น การใช้ Ctrl+TAB ในบราวเซอร์ IE/Firefox/Chrome มันจะเป็นการสับเปลียนแท็บต่างๆ ที่อยู่"ภายใน"หน้าต่างโปรแกรมนั่นเอง คราวนี้คงจะเข้าใจความแตกต่างแล้วนะครับ

Ctrl+F4 หมายถึงการปิดเอกสารที่เปิดอยู่ภายในแอพพลิเคชันที่สนับสนุนการเปิดเอกสารได้หลายไฟล์ภายในโปรแกรม เช่น Word มันจะทำงานเหมือนกับการคลิกปุ่ม Xของหน้าต่างเอกสารที่อยู่ภายในโปรแกรมนั่นเอง (อยุ่ถัดลงมาจากปุ่มกากบาทสีแดงของหน้าต่างโปรแกรมนั้นๆ) แต่ถ้าเป็นในบราวเซอร์ IE/Firefox/Chrome ก็จะหมายถึงการปิดแท็บของหน้าเว็บที่คุณกำลังดูอยู่ในขณะนั้นความจริง Alt และ Ctrl ยังใช้งานร่วมกับปุ่มอื่นๆ สำหรับการทำหน้าที่เป็นคีย์ลัด(shortcut) ด้วย อย่างเช่น Alt+W ที่ใช้เปิดเมนู Window หรือ Alt+F เป็นเมนู File ของโปรแกรมที่ใช้งานนั้นๆ ในขณะที่หลายโปรแกรมจะยังคงใช้ Ctrl+W เพื่อปิดหน้าต่างเอกสารที่เปิดอยู่ภายในแอพพลิเคชัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันเหมือนกับกดปุ่ม Ctrl+F4 นั่นเอง ใครสะดวกใช้อันไหนก็ว่ากันไป ไม่ผิดกฎหมายครับ :p


windows: มองไม่เห็นเคอร์เซอร์

ถาม: ตอนนี้ผมใช้วินโดวส์วิสต้าอยู่ครับ ปัญหาที่ประสบอยู่ก็คือ ผมมองไม่ค่อยเห็นเคอร์เซอร์ที่กระพริบในโปรแกรม ทำให้รู้สึกเสียเวลามองหาอยู่บ่อยๆ รบกวนช่วยแนะนำวิธีแก้ไขให้คนวัยเกษียณอยากเก่งคอมพ์ด้วยครับ

ตอบ: อย่าว่าแต่คนวัยเกษียณเลยครับที่พบปัญหานี้ ผู้ใช้ที่ชอบตั้งค่าความละเอียดของหน้าจอสูงๆ ก็มีโอกาสที่จะมองหาเคอร์เซอร์เส้นบางๆ ที่กระพริบอยู่บนหน้าจอไม่เจอเหมือนกัน สำหรับวิธีแก้ก็คือ ต้องทำให้เคอร์เซอร์อ้วนขึ้นอีกสักเล็กน้อย เพื่อจะสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น

สำหรับผู้ใช้ Windows Vista ให้คลิ้กปุ่ม Start เลือก Control Panel จากนั้นคลิกที่รายการ Ease of Access ตามด้วย Optimize visual display มองหาหัวข้อ Make things on the screen easier to see จะพบข้อความ Set the thickness of blinking cursor: จากนั้นคลิกเลือกความหนา(ค่าเริ่มต้นเป็น 1) ซึ่งสามารถตั้งค่าความหนาได้สูงสุดถึง 20 เลยทีเดียว เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Apply และ Save ตามลำดับ

ส่วนผู้ใช้ Windows XP ให้คลิ้ก Start เลือก Control Panel ตามด้วย Accessibility Options เลือกแท็บ Display ภายในกรอบ Cursor Options ที่อยูด้านล่าง เลื่อนสไลด์ไปทางขวา เพื่อปรับขนาดเคอร์เซอร์ให้ใหญ่ขึ้น เมื่อได้ขนาดตามที่ต้องการคลิ้กปุ่ม Apply และ OK ตามลำดับ