วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไวรัส PC Antispyware 2010

ผมเพิ่งติดตั้งโปรแกรม PC Anti-Spyware 2010 เข้าไปในคอมพิวเตอร์ แต่เพื่อนบอกว่า มันไมใช่โปรแกรมป้องกันสปายแวร์ แต่ตัวมันนั่นแหละที่เป็น"สปายแวร์" เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไรครับ? และถ้าเป็นจริงผมจะจัดการกับมันอย่างไรดีครับ?
ก่อนอื่นต้องบอกว่า เรื่องที่เพื่อนคุณว่ามานั้นเป็นเรื่องจริงครับ และเจ้าไวรัสตัวนี้ก็กำลัง หลอกให้ผู้ใช้ทั่วโลกติดตั้งมันเข้าไปในเครื่อง ดังนั้น แทนที่มันจะปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณ ตรงกันข้าม มันกลับพยายามขโมยข้อมูลส่วนตัวของคุณส่งออกไปให้แฮคเกอร์ ซึ่งรวมถึงหมายเลขบัตรเครดิต ตลอดจนบัญชีธนาคารของคุณ และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าได้เผลอติดตั้งไวรัสตัวนี้เข้า ไป หรือไม่? ซึ่งถ้าหากพบก็ลบออกได้ทันที

ที่แย่กว่าการที่ทราบว่า ติดไวรัสตัวนี้เข้าไปแล้วก็คือ เราไม่สามารถ กำจัด PC Anti-Spyware 2010 ออกไปได้โดยง่าย เพราะมันก็เหมือนกับไวรัสตัวอื่นๆ ที่่สามารถซ่อนตัวเอง และทำงานในแบคกราวด์โดยที่คุณไม่รู้ตัว เอาเป็นว่า ถึงตอนนี้ คอมพิวเตอร์ของคุณได้ติดมันเข้าไปเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อกำจัดมันออกไปจากเครื่องเป็นการด่วนจะดีกว่านะครับ

1. ขั้นแรกต้องหยุดไม่ให้ทำงานในหน่วยความจำ ด้วยการกำจัด (kill) โพรเซสที่เกี่ยวข้องกับไวรัสตัวนี้ ด้วยการเปิด Task Manager (กดปุ่ม Ctrl+Alt+Del หรือคลิกขวาบนทาสก์บาร์ (taskbar) เลือก Task Manager) คลิกแท็บ Processes สังเกตว่า มีรายการต่อไปนี้ปรากฎอยู่ หรือไม่?

  • PC_Antispyware2010.exe
  • Uninstall.exe
  • jugifyryve.exe

หาก คุณพบว่า โพรเซสเหล่านี้กำลังทำงานอยู่ ให้คลิกเลือกทีละรายการแล้วคลิกปุ่ม End Process อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ยังไม่ได้เป็นการกำจัด หรือถอดถอนไวรัสตัวนี้ออกไปนะครับ เพียงแต่หยุดไม่ให้ทำงานชั่วคราวก่อนเท่านั้น เมื่อคุณรีสตาร์ทเครื่อง ไวรัสก็จะกลับมาทำงานอีกอยู่ดี

2. ขั้นตอนนี้จะเป็นการกำจัด PC Anti-Spyware 2010 ออกไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยสมบูรณ์ โดยคุณจะต้องเข้าไปลบมันออกจากรีจิสทรีที่เกี่ยวข้องกับไวรัส วิธีที่ตรวจสอบก็ง่ายมาก เริ่มต้นด้วยการสั่งรันโปรแกรม REGEDIT (กดปุ่ม Windows+R พิมพ์คำสั่ง regedit แล้วกดปุ่ม Enter) จากนั้นคลิกเข้าไปลบรายการข้างล่างนี้

HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Uninstall\PC_Antispyware2010

HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Run\ "PC Antispyware 2010"

HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\PC_Antispyware2010

HKEY_CURRENT_USER\Control Panel\don’t load\ "scui.cpl"

HKEY_CURRENT_USER\Control Panel\don’t load\ "wscui.cpl"

3. ขั้นตอนสุดท้ายคุณจะต้องลบไฟล์ทั้งหมด และไดเร็กทอรี่ที่เกี่ยวข้องกับ PC Anti-Spyware 2010 โดยเปิดหน้าต่าง Windows Explorer (กดปุ่ม Windows + E) แล้วคลิกเข้าไปลบไดเร็กทอรี่ต่อไปนี้

C:\Program Files\PC_Antispyware2010

C:\Program Files\PC_Antispyware2010data

อย่าง ไรก็ตาม มันอาจจะยังมีไฟล์ไวรัสตกค้างในโฟลเดอร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องซ่อนอยู่ในระบบอีก แนะนำให้ตรวจสอบด้วยการพิมพ์ในช่องเสิร์ชว่า "PC_Antispyware2010" โดยเลือกให้ค้นในไดเร็กทอรี่ของระบบ (System directory) และโฟลเดอร์ที่ซ่อนไว้ (History folder) เพื่อลบมันออกไปให้สิ้นซาก

(*สังเกตว่า ไม่ว่าจะกดเพื่อแอคชั่นอะไรก็ตาม มันจะปีอปอัพหน้าต่างชวนให้คุณลงทะเบียนอยู่ตลอดเวลาจนน่ารำคาญ นิสัยแย่มากๆ)

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

5 ข้อแนะนำ ก่อนลงวินโดวส์ใหม่

รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา นายเกาเหลาขออนุญาติแนะนำให้คุณผู้อ่านที่น่ารักได้ลองปฏิบัติตามขั้นตอนทั้ง 5 ข้อนี้ ก่อนที่จะติดตั้ง Windows เข้าไปใหม่อีกครั้ง เพื่อความรวดเร็ว ปลอดภัย มั่นใจ ใช้ได้ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม ว่าแล้วไปดูกันเลยดีกว่าครับ ขั้นตอนที่ 1 สิ่งแรกที่คุณควรทำก็คือ สำรวจดูว่ามีงานเก็บอยู่ในไดรฟ์ที่ติดตั้งวินโดวส์หรือไม่ ? โดยเฉพาะไฟล์งานต่างๆ ที่ชอบวางแปะไว้บนเดสก์ทอป หากพบว่าไม่สามารถเข้าไปถึงส่วนของเดสก์ทอปวินโดวส์ได้เลย คุณอาจต้องใช้แผ่นบูตของวินโดวส์ 98/ME ซึ่งเป็นการบูตผ่านดอสโหมดเข้ามาช่วย ในกรณีที่วินโดวส์ของคุณถูกติดตั้งอยู่ในไดรฟ์ C: ไฟล์ต่างๆ ที่วางไว้บนเดสก์ทอปจะอยู่ที่ไดเรกทอรี C:Documents and SettingsAdministratorDesktop (ล็อกออนด้วยแอกเคานต์ของ Admin) และไดเรกทอรี C:Documents and Settings[Users Account ]Desktop (ล็อกอินด้วยยูสเซอร์แอกเคานต์ทั่วไป) ขั้นตอนที่ 2 หากเราต้องการความรวดเร็วในการลงวินโดวส์ละก็ สิ่งที่ต้องทำก็คือ ถอดอุปกรณ์ที่ยังไม่จำเป็นออกไปก่อน เช่น การ์ดทีวี จูนเนอร์ การ์ดเสียง การ์ดแลน หรือหากมีอุปกรณ์ต่อพ่วงอย่าง พรินเตอร์ สแกนเนอร์ โมเด็ม ให้ถอดอุปกรณ์พวกนี้ออกไปก่อนก็จะช่วยให้ลงได้เร็วขึ้นได้ ขั้นตอนที่ 3 สแกนตรวจสอบแผ่นติดตั้งวินโดวส์ก่อน ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าคุณใช้แผ่นวินโดวส์ลิขสิทธิ์ครับ เพราะทางผู้ผลิตจะตรวจสอบทุกไฟล์ว่ามีไวรัสหรือมีโค้ดอันตรายแฝงมาด้วยหรือไม่ ถ้าคุณไปก๊อบปี้แผ่นวินโดวส์แท้ของเพื่อนมาก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากอันตรายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะในระหว่างที่เพื่อนคุณไรต์แผ่นซีดีให้ อาจมีไวรัสจากเครื่องนั้นๆ แถมมาด้วยก็เป็นได้ เมื่อคุณนำไปใช้ก็จะติดไวรัสอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะลงสักกี่ครั้งก็ตาม หากยังใช้แผ่นติดตั้งวินโดวส์นั้นก็ไม่รอดครับ ยิ่งเป็นแผ่นซีดีรวมโปรแกรมผีที่มีวินโดวส์อยู่ด้วยละก็ คุณอาจพบกับฝันร้ายในไม่ช้า ดังนั้น แนะนำให้สแกนตรวจสอบแผ่นติดตั้งวินโดวส์จากคอมพ์เครื่องอื่นก่อน เพื่อความปลอดภัยครับ ขั้นตอนที่ 4 หากคุณสงสัยว่าปัญหาจากไวรัสอาจแทรกแซงมาจากไดรฟ์อื่นๆ ในฮาร์ดดิสก์ละก็ วิธีการตรวจสอบคุณต้องถอดฮาร์ดดิสก์ไปเชื่อมต่อกับเครื่องอื่นๆ หรือใช้แผ่นบูตที่มาพร้อมกับโปรแกรมสแกนไวรัส (แนะนำให้ใช้ยูทิลิตีสำหรับจัดการฮาร์ดดิสก์ที่ชื่อ Hiren BootCD ซึ่งสามารถบูตเครื่องได้และมีโปรแกรมตรวจจับฮาร์ดดิสก์อยู่ด้วย ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ http://homepage.ntlworld.com/hiren.thanki/bootcd.html) จากนั้นก็สแกนค้นหาไวรัส สปายแวร์ ฯลฯ ให้ครบทุกไดรฟ์ที่มีอยู่ เพื่อป้องกันไวรัสโหลดตัวเองขึ้นมาในระหว่างการติดตั้ง หรือหลังจากรีบูตเครื่องครั้งแรกขึ้นมา เพราะขณะนั้นยังไม่มีโปรแกรมตรวจจับไวรัสติดตั้งอยู่เลย ขั้นตอนที่ 5 ตรวจสอบดูที่ฟลอปปี้ไดรฟ์ด้วยว่ามีแผ่นดิสก์ค้างอยู่ในนั้นหรือไม่ เพราะหากมีไวรัสหรือโค้ดอันตรายอยู่ในแผ่นดิสก์ในระหว่างที่ติดตั้งวินโดวส์แล้วละก็ มันอาจสร้างปัญหาให้คุณได้ รวมทั้งการเสียบทรัมป์ไดรฟ์หรือ USB แฟลชไดรฟ์คาเอาไว้ก็สามารถให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันนี้ได้
ทิปจาก : arip.co.th

ตวัด"เมาส์"ราวกับ"พู่กัน"

วันนี้มีซอฟต์แวร์แจกฟรีมาฝากกันเช่นเคย โดยฟรีแวร์ตัวนี้มีชื่อว่า Livebrush ซึ่งเพียงแค่ไม่กี่นาทีที่ดาวน์โหลด และติดตั้งมันเข้าไปในเครื่อง Livebrush จะสามารถเปลี่ยนคุณผู้อ่านที่แค่พอมีฝีมือในการวาดรูปอยู่บ้างให้กลายเป็นสุดยอดศิลปินดิจิตอลภายในบัดดล ด้วยลีลาการวาดเส้นหนักเส้นเบาราวกับมือโปรฯ จะทำให้คุณได้ผลงานที่เยี่ยมยอดกว่าเดิมจนไม่อยากจะเชื่อว่า "วาดเอง"

Livebrush เป็นโปรแกรมวาดภาพที่มาพร้อมกับเครื่องมือมหัศจรรย์ โดยเฉพาะแปรงสีดิจิตอลที่สามารถตอบสนองความเร็วของการลากเม้าส์ของคุณด้วยความหนาบางของเส้นภาพที่ปรากฎ ทำให้ภาพวาดที่ออกมามีความสวยงามยิ่งขึ้น ต้องขอชมว่า ทำโปรแกรมออกมาได้สุดยอดจริงๆ หากคุณผู้อ่านคิดไม่ออกว่า จะวาดรูปอะไร ก็ลองดูัวอย่างข้างล่างนี้ดูสิครับ บางทีคุณอาจจะสร้างสรรค์ผลงานได้ดีกว่านี้อีกด้วยซ้ำ
คุณผู้อ่านสามารถควบคุมการทำงานของ"แปรงสี"ฉลาดๆ ที่โปรแกรมให้มาด้วยเมาส์ หรือทัชแพดก็ได้ โดยโปรแกรมจะช่วยตีโค้งโยงเส้นสายตาม"ลวดลายการลาก" (gesture) เมาส์ของคุณได้โดยอัตโนมัติ รับรองว่า โค้งได้มนกว่าที่คุณลากด้วยมือตัวเองอย่างแน่นอน สนใจดาวน์โหลดโปรแกรม Livebrush คลิกที่นี่
ที่มา : arip.co.th

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไอคอน Show Desktop หาย

ม่ต้องกังวลไปครับ ไอคอน Show Desktop สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ โดยใช้แค่เครื่องมือง่ายๆ อย่าง Notepad แต่เนื่องจากคุณไม่ได้แจ้งว่า Windows ที่ใช้อยู่เป็นเวอร์ชันอะไร ดังนั้นวิธีแก้ไขในที่นี้จะสามารถใช้ได้กับวินโดวส์ทุกเวอร์ชันตั้งแต่ 98 ถึง Vista สำหรับขั้นตอนการสร้าง Show Desktop ขึ้นมาใหม่มีดังนี้

1. เปิดโปรแกรมโน้ตแพด (Notepad) แล้วก็อปปี้ข้อความต่อไปนี้เข้าไป

กรณีที่ใช้ 98 และ Windows XP ให้ก็อปปี้บรรดทัดข้างล่างนี้เข้าไปใส่ในโน้ตแพด

[Shell]
Command=2
IconFile=explorer.exe,3
[Taskbar]
Command=ToggleDesktop

แต่ถ้าคุณใช้ Vista ให้ก็อปปี้ข้อความข้างล่างนี้แทน

[Shell]
Command=2
IconFile=shell32.dll,34
[Taskbar]
Command=ToggleDesktop

2. จัดเก็บไฟล์ไว้บนเดสก์ทอป โดยตั้งชื่อว่า Show Desktop.scf ขั้นตอนการจัดเก็บไฟล์ข้อความในโน้ตแพดให้มีนามสกุลแบบนี้ ให้คลิกเมนู File เลือก Save As... เลือก Save as type เป็น All Files (*.*) แล้วคลิกปุ่ม Save แล้วปิดโน้ตแพด (ย้ำว่า ชื่อไฟล์และนามสกุลจะต้องเขียนตามนี้เป๊ะคือ Show Desktop.scf)

3. และก็ถือขั้นตอนสุดท้ายนั่นคือ ลากไอคอนไฟล์ Show Desktop ลงไปใส่ใน Quicklaunch เพียงแค่นี้คุณก็ได้ไอคอนสำหรับคลิก เพื่อแสดงเดสก์ทอปกลับคืนมาแล้ว...หวังว่าคงไม่ยากเกินไปนะครับ

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

IE: อยากลบ History บางรายการทำไง?

ดิฉันต้องแบ่งให้น้องชายที่ค่อนข้างจะมีอายุห่างกันพอสมควรใช้โน้ตบุ๊ก เครื่องเดียวกันค่ะ คราวนี้สังเกตเห็นว่า หน้าเว็บทีเข้าไปดูมันจะเก็บไว้ใน history ซึ่งจะปรากฎขึ้นมาขณะพิมพ์เว็บไซต์ในช่องแอดเดรสด้วย ซึ่งบางเรื่องก็ไม่อยากให้น้องชายคลิ้กไปอ่านค่ะ ก็เลยอยากจะลบมันออกไป ไม่ทราบว่า ต้องทำอย่างไรคะ?

ตอบ: ส่วนใหญ่พวกเราจะทราบวิธีล้าง (clear) ประวัติการเยียมชมเว็บไซต์ (History) ให้หมดภายในคราวเดียว (ปุ่ม Delete history... ใน Internet Options ของ IE) แต่ความจริงคุณอาจต้องการลบทิ้งเพียงบางรายการเท่านั้น อย่างเช่นกรณีของคุณผู้อ่านท่านนี้ ซึ่งเกรงว่า ถ้าลบหมดเว็บไซต์ที่น้องชอบเข้าจะหายไปด้วย เนื่องจากไม่ได้แจ้งว่า ใช้บราวเซอร์อะไรอยู่ก็เลยขอตอบทั้งสองบราวเซอร์คือ IE และ Firefox ก็แล้วกันนะครับ หวังว่า คงจะไม่หลุดไปจากสองตัวนี้

กรณีทีใช้ Internet Explorer (IE)

คลิ้ก ปุ่มลูกศรชี้ลงเล็กๆ ที่อยู่ขวาสุดของช่องป้อนแอดเดรสเว็บไซต์ สังเกตว่า ดรอปดาวน์ของรายการเว็บไซต์ที่เยี่ยมชมไปแล้วจะไหลลงมา จากนั้นเลื่อนเมาส์ไปตามรายการที่ต้องการลบ สังเกตว่า ที่ด้านขวาของแต่ละรายการจะมีเครื่องหมาย X สีแดงปรากฎอยู่ด้วย ให้ใช้เมาส์คลิ้กบนเครื่องหมายดังกล่าว เพียงแค่นี้ ประวัติศาสตร์ที่คุณไม่อยากให้น้องชายของคุณเข้าไปดู ก็ถูกลบทิ้งไปแล้วล่ะครับ

กรณีทีใช้ Mozilla Firefox

สำ หรับไฟร์ฟอกซ์จะสะดวกและง่ายดายกว่ามาก โดยคลิ้กปุ่มชี้ลงเหมือนกัน (หรือจะคลิ้กเลือกช่องป้อนแอดเดรสของเว็บไซต์ แล้วกดปุ่มลูกศรลงบนคีย์บอร์ด) จากนั้นใช้ปุ่มลูกศรเลือกไฮไลท์รายการเว็บไซต์ที่เคยเยี่ยมชมในอดีต (history) เมื่อถึงรายการที่ต้องการแล้ว ก็กดปุ่ม Delete บนคีย์บอร์ด รายการนั้นก็จะหายไปทันที

windows 7: ลูกเล่น(ไร้สาระ)ที่ซ่อนอยู่?

บ่อยครั้งที่พบว่า ลูกเล่นที่ลึกลับหรือถูกซ่อนไว้ในซอฟต์แวร์ที่เรียก Easter Egg มักจะตามติดจากเวอร์ชันเก่ามาจนถึงเวอร์ชันใหม่ แม้แต่ในระบบปฎิบัติการ Windows 7 ลูกเล่นบางอย่างที่เล่นได้บน Windows Vista ก็ยังใช้ได้บน Windows 7 ด้วย อย่างทริก"ไร้สาระ"อันนี้เป็นต้น
เรื่องของเรื่องก็คือ ปกติเวลาเรียกใช้ฟังก์ชัน Task Switcher (หรือ Flip ใน Windows Vista) เพื่อสลับสับเปลี่ยนไปใช้แอพฯตัวอื่นๆ ที่เปิดไว้แล้ว ผู้ใช้เพียงแค่กดปุม Alt+tab บน Windows 7 หรือ Vista ก็จะมีหน้าต่างป๊อปอัพขึ้นมาพร้อมทั้งแสดงรายการของหน้าต่างโปรแกรม ด้วยขนาด thumbnail จัดแถว รอให้คุณเลือกบนพื้นใส Aero ซึ่งจะแตกต่างจากที่เคยเห็นใน Windows XP ที่เป็นแค่ไอคอนโปรแกรมเท่านั้น

หากคุณคิดถึงอินเตอร์เฟซของฟังก์ชันสลับโปรแกรมที่ไม่ค่อยไฮโซเท่าไรของ XP ก็สามารถเรียกรูปแบบเดิมขึ้นมาใช้ใน Windows 7 (หรือ Vista) ได้เหมือนกัน โดยขั้นแรกกดปุ่ม Alt+tab ด้วยมือซ้าย จากนั้นใช้มือขวากดปุ่ม Alt ทางฝั่งขวาของคีย์บอร์ด แล้วปล่อย (มือซ้ายยังกดปุ่ม Alt ค้างอยู่นะครับ) จากนั้นกด Alt+tab ด้วยมือซ้าย จะเห็นว่า Switcher ได้เปลี่ยนอินเตอร์เฟซกลับไปเป็นแบบ XP ในอดีตแล้ว โอ้ว...ได้กลิ่นอายของ XP ดีจัง :p (ภาพตัวอย่าง Task Switcher บน Windows 7 ที่แสดงไอคอนเรียบง่ายแบบ XP)

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

IE 8: Accelerator น่าลอง

ทิปยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ IE8 ก็คือ Accelerators คุณสมบัติการทำงานที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับ"ข้อความที่เลือก" (selected text) บนหน้าเว็บได้มากกว่าแค่ ก็อปปี้ (copy) เช่น ค้นมูลค่าหุ้นปัจจุบัน ความหมายของคำ หรือวลีนั้นๆ ตำแหน่งบนแผนที่ แปลงหน่วยเงิน สร้างชอร์ทคัต หรือแม้แต่แชร์ให้กับเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ซึ่งน่าจะทำให้ชีวิตของผู้ใช้สะดวกขึ้นเยอะ

ขั้นตอนการใช้ฟังก์ชัน Accelerator ใน IE8 ง่ายมาก โดยขั้นตอนการใช้งานมีดังนี้

ขั้นที่หนึ่ง: เลือกข้อความที่สนใจบนหน้าเว็บ (เช่น ศัพท์เฉพาะทางที่ไม่คุ้นเคยว่า มันคืออะไร?) สังเกตมุมบนซ้ายจะปรากฎปุ่มพร้อมลูกศรทีไปทางขวาปรากฎขึ้นมา

ขั้นที่สอง: คลิกปุ่มด้งกล่าว เมนู Accelerator จะปรากฎขึ้นมาให้เลือกแอคชั่นที่ต้องการให้จัดการกับ"ข้อความที่เลือก"นั้น เช่น Search with Google เป็นต้น

หลังจากเลือกคำสังแล้ว IE8 จะส่งข้อความไปยังบริการต่างๆ ที่เลือกในเมนู โดยจะเปิดหน้าผลลัพธ์ในแท็บใหม่ ซึ่งคุณสามารถเพิ่มเติมความสามารถของ Accelerator ได้มากมาย (นับร้อยบริการ) ตามใจต้องการ โดยสามารถเลือกเพิ่มเติมได้จากตัวเลือกล่างสุดที่บอกว่าให้ไปที่ Microsoft Accelerator Gallery

windows: แค่ลากแล้ววางก็รู้ที่อยู่ไฟล์?

คุณเองก็อาจจะเคยมีความจำเป็นต้องใช้ หรือต้องการทราบว่า ไฟล์ที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นมีพาธ (path) เป็นอะไร? บ้างก็ใช้วิธีคลิกขวาบนไฟล์แล้วเลือกคำสั่ง Properties แล้วใช้ข้อมูลจากในบรรทัด Location: แต่มันก็ไม่รวมชื่อไฟล์ไว้ด้วย นายเกาเหลามีวิธีที่ได้ข้อมูลทั้งพาธ และชื่อไฟล์ครบถ้วน แค่ลาก...แล้ววางก็ได้คำตอบแล้ว...???

เหตุที่นำทิปนี้มาเล่าสู่กันฟังก็เพราะว่า พอดีได้ใช้วิธีนี้ในการหาพาธของไฟล์ต่อหน้าเพื่อนๆ ของหลาน ปรากฎว่า ทุกคนในกลุ่มอึ้ง...เพราะงงที่มันทำได้ ในขณะที่นายเกาเหลาเองก็อึ้งที่ทุกคนประหลาดใจ :p อย่างไรก็ตาม คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยทราบมาแล้วว่า มันทำได้ แต่เชื่อว่า มือใหม่หลายๆ คนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน (เหมือนเพื่อน และหลานของนายเกาเหลา) เอาเป็นว่า สะสมความรู้เป็นทิปเล็กๆ ไว้ใช้ยามจำเป็นก็แล้วกันนะครับ วิธีการก็แค่กดปุ่ม Windows+R เพื่อเปิดไดอะล็อกบ๊อกซ์ Run จากนั้นใช้เมาส์ลากไฟล์ที่ต้องการทราบ Path มาไว้ในช่อง Open แล้ววาง พาธพร้อมชื่อไฟล์ที่สมบูรณ์จะปรากฎในช่องข้อความทันที ว้าว!!! อะไรมจะง่ายปานนั้น :) ลองไปทำดูนะครับ

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

internet: อยากมี"ฟอนต์"ลายมือตัวเอง?

คุณเคยนึกอยากมี" ฟอนต์" (Font) หรือชุดตัวอักษรที่ใช้พิมพ์บนคอมพิวเตอร์ที่เป็นลายมือของตัวเองบ้างไหมครับ ? ผมคนหนึ่งล่ะที่เคยคิดอยากมีไว้ใช้กับเขาบ้างเหมือนกัน แต่ก็รู้ดีว่า มันไม่ง่ายนักที่จะสร้างฟอนต์ขึ้นมาใช้งาน ล่าสุดผมไปพบบริการบนอินเทอร์เน็ตที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถสร้างฟอนต์จากลาย มือตัวเอง เพื่อนำไปใช้ในระบบปฏิบัติการ Mac หรือ Windows ก็ได้ ที่สำคัญเป็นบริการ"ฟรี" และไม่ต้องลงทะเบียนก่อนใช้งานแต่อย่างใด
สำหรับบริการที่ผมกำลังพูดถึงนี้ือยู่บนเว็บไซต์ทีมีชื่อว่า Fontcapture.com โดยขั้นตอนการสร้างฟอนต์ก็ง่ายมาก เริ่มต้นจากดาวน์โหลดแบบฟอร์ม (ไฟล์ pdf) ทีใช้ในการเขียนตัวอักษรแต่ละตัวด้วยลายมือของเรามาก่อน ซึ่งคุณจะต้องพิมพ์แบบฟอร์มนี้ออกมา เพื่อใช้ปากกาเขียนตัวอักษรแต่ละตัวลงไปในช่อง

แบบฟอร์มที่กองบรรณาธิการ arip ทดลองดาวน์โหลดมา เพื่อเขียนชุดอักษรทีต้องการ แล้วสแกนเป็นไฟล์กราฟิก JPG (PNG จะดีกว่าครับ)


ตัวอย่างผลลัพธ์การใช้ฟอนต์ที่สร้างจากลายมือของเราโดย fontcapture โดยฟอนต์ที่ได้จะเป็น .TTF

เมื่อ เขียนเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ นำไปสแกนที่ความละเอียด 200 dpi จัดเก็บเป็นฟอร์แมต GIF หรือ PNG จากนั้นอัพโหลดไฟล์กราฟิกของชุดตัวอักษรที่เราสร้างไปให้กับเว็บไซต์ Fontcapture.com พร้อมตั้งชื่อฟอนต์ (Font Name) และผู้เขียน (Author) ซึ่งบริการจะแปลงภาพชุดตัวอักษรที่เขียนด้วยยลายมือคุณให้กลายเป็น ไฟล์ฟอนต์ที่พร้อมใช้งาน ให้คุณดาวน์โหลดกลับมาได้ เอาล่ะครับ คุณผู้อ่านท่านไหนสนใจ ลองเข้าทำตามขั้นตอนนี้จากบนเว็บไซต์ที่แนะนำมา หากได้ผลอย่างไรก็เล่าสูกันฟังบ้างนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

การแชร์ Internet ADSL ด้วย ICS (Internet Connection Sharing)

ในยุคสมัยนี้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงหรือ ADSL หลายคนต้องมีใช้งานในบ้านกันอยู่แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนรหัสผ่านมีเพียงชุดเดียว แต่ว่าภายในบ้านมีเครื่องคอมพ์มากกว่า 1 เครื่อง ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตพร้อมๆ กัน นอกเหนือจากการใช้งานเครือข่ายไร้สายแล้ว ผมก็มีวิธีการตั้งค่าแชร์อินเทอร์เน็ต ADSL แบบง่ายๆ มาให้ลองใช้งานกันดูกัน ตามมากันเลย
อันดับแรกก็คงต้องทำให้เครื่องให้สามารถออกอินเทอร์เน็ตได้ก่อน โดยเครื่องนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือโมเด็มเอาไว้สำหรับต่ออินเทอร์เน็ต โดยตัวเครื่องต้องมีระบบเน็ตเวิร์กติดตั้งเอาให้เรียบร้อยก่อน สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ก็คือการแชร์ ICS ซึ่งเป็นฟังก์ชันมาตรฐานสำหรับวินโดวส์เอ็กซ์พีให้ทำงานขึ้นมา ขั้นตอนแรกก็ง่ายๆ ครับ ก่อนอื่นให้เซตอัพการ์ดเน็ตเวิร์กในเครื่องแรกให้มีการเซตอัพค่าหมายเลข IP ก่อน โดยการทำขั้นตอนดังนี้
1. เริ่มแรกคลิกที่ปุ่มสตาร์ต เลือกที่ Control Panelจากนั้นให้เลือกที่ Network Connections


2. คลิกเมาส์ปุ่มขวาที่ Local Area Connection เลือกที่ Properties แล้วก็จะปรากฏหน้าต่าง Properties ของเน็ตเวิร์กขึ้นมา


3. ให้กำหนดค่าของหมายเลขไอพีให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะออกอินเทอร์เน็ต โดยให้เลือกที่ TCP/IP จากนั้นคลิกที่ปุ่ม Properties เพื่อเตรียมกำหนดค่า IP Address โดยเมื่อหน้าต่าง TCP/IP Properties
4. จากนั้นกำหนดหมายเลข IP ให้กับเครื่องเป็น 192.168.0.1 เพื่อกำหนดให้เป็นเครื่องแรก จากนั้นป้อนค่า Subnet Mark โดยให้มีค่าเป็น 255.255.255.0
5. จากนั้นไปกำหนดการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งในที่นี้เราใช้การ Dial up ออกสู่อินเทอร์เน็ต ดังนั้นควรจะติดตั้งโมเด็มและสร้าง Connection สำหรับโมเด็มให้เรียบร้อยก่อนที่เข้าสู่การแชร์อินเทอร์เน็ตวิธีการแชร์อินเทอร์เน็ต
1. เริ่มต้นคลิกที่ปุ่มสตาร์ต จากนั้นเลือก Control Panel แล้วเลือกที่ Network Connection เช่นเดิม
2. ต่อมาให้คลิกขวาที่ไอคอนของไดอัลอัพที่เราจะใช้โมเด็มหมุนออกอินเทอร์เน็ตต่อไปและเลือกที่ Properties
3. จากนั้นให้เลือกที่แท็บ Advanced เพื่อกำหนดการแชร์อินเทอร์เน็ต จะเห็นหน้าต่างของการแชร์อินเทอร์เน็ตขึ้น โดยจะอยู่ในกรอบ Internet Connection Sharing ที่นี้ก็ให้เราคลิกเช็กบ็อกซ์เลือกที่ "Allow other network users to connect through this computer's internet connection" ซึ่งก็จะปรากฏหัวข้ออีกสองอันขึ้นมา "Establish a dial-up connection whenever a computer on my network attempts to access the internet" "หัวข้อนี้จะหมายความว่า จะยอมให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ที่ต่ออยู่กับเน็ตเวิร์กนั้น สามารถไดอัลอัพโมเด็มที่อยู่ในเครื่องหลัก เพื่อออกสู่อินเทอร์เน็ตได้ หากว่าต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือไม่ หากต้องการให้ต้องไดอัลผ่านคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ได้ ก็ให้เช็กบ็อกซ์ที่อยู่ด้านหน้า หรือหากไม่ต้องการก็ให้เอาออกไป
"Allow other network users to control or disable the shared internet connection" หมายถึงว่าให้ผู้ใช้บนเครื่องอื่นๆ นั้น สามารถควบคุมหรือยกเลิกการแชร์อินเทอร์เน็ตในเครื่องหลักได้หรือเปล่า ซึ่งหากไม่ต้องการก็ให้เอาออกไปเช่นเดียวกัน โดยตามปกตินั้น ให้เราเอาหัวข้อทั้งสองออก โดยไม่ต้องไปเช็กบ็อกซ์ นั่นเอง
หลังจากนี้ก็ให้ปิดหน้าต่างทุกหน้าต่างลง เท่านี้การเซตอัพเครื่องสำหรับเตรียมให้บริการแชร์อินเทอร์เน็ตเสร็จเรียบร้อยแล้วขั้นตอนการเซตอัพเครื่องในระบบเครือข่าย
หลังจากที่เซตอัพเครื่องหลักเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมาถึงการเซตอัพเครื่องลูกข่ายเพื่อให้ใช้อินเทอร์เน็ตที่แชร์เอาไว้บ้างล่ะครับ ซึ่งก็เรียกว่าไม่แตกต่างไปจากการเซตอัพเครื่องหลักมากนัก โดยเราจะเน้นกันที่การเซตอัพเน็ตเวิร์กเป็นหลักซึ่งสิ่งที่ต้องการสำหรับเครื่องลูกนี้ก็คือการ์ดเน็ตเวิร์กที่เซตอัพเรียบร้อยสามารถทำงานได้เท่านั้น โดยเครื่องนี้เราไม่ต้องมีโมเด็มก็ได้ เพราะไม่จำเป็นแล้ว
เริ่มต้นด้วยการกำหนดหมายเลขไอพี สำหรับเครื่องที่ 2 โดยทำขั้นตอนเหมือนกับการเซตอัพเครื่องเซิร์ฟเวอร์ แต่เปลี่ยนหมายเลขไอพีให้เป็น 192.168.0.2 แทน โดยกำหนดให้หมายเลข 2 ตัวสุดท้ายที่เปลี่ยนแปลงนั้นหมายถึงเลข IP ประจำเครื่องที่ 2 และหากมีเครื่องมากกว่านี้ ก็ให้กำหนดเพิ่มขึ้นไป เช่น 3, 4, 5 ... นั่นเอง
หลังจากที่เรากำหนดหมายเลขไอพีเรียบร้อยแล้ว ก็ลองเช็กดูว่าเครื่องที่ใช้อยู่นั้น มีหมายเลข IP ตามที่กำหนดหรือไม่ โดยการคลิกที่ปุ่มสตาร์ต จากนั้นเลือกที่ RUN แล้ว พิมพ์คำว่า Command ลงไป ให้ลองตรวจสอบหมายเลขไอพี โดยพิมพ์คำว่า "IPCONFIG" ลงไปที่คอมมานพรอมต์ ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะปรากฏหมายเลข IP พร้อมกับหมายเลข Subnet Mark
ที่นี้ลองตรวจสอบดูว่าเครื่องที่เราเซตอัพอยู่นี้ สามารถมองเห็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการแชร์อินเทอร์เน็ตหรือไม่ โดยการใช้คำสั่ง PING ไปที่ เครื่องหลัก โดยสั่งว่า PING 192.168.0.1 ที่คอมมานพรอมต์ เพื่อตรวจสอบแพ็กเกจข้อมูล เมื่อเครื่องลูกสามารถมองเห็นเครื่องแม่แล้ว
ทีนี้เราก็เหลือขั้นตอนการเซตอัพอยู่อีกขั้นตอนเดียวก็คือการเซตอัพคอนฟิกในIE เพื่อให้ตรวจสอบ Proxy โดยอัตโนมัติ ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเช่นเดียวกัน ขั้นตอนแรกก็เรียก IE ขึ้นมา และให้คลิกที่เมนู Tools และเลือกที่ Internet Options... จากนั้นให้คลิกที่แท็บ Connections แล้วคลิกที่ปุ่ม LAN Settings ซึ่งอยู่ในส่วนของ Local Area Network (LANs) Settings ให้คลิกเช็กบ็อกซ์ "Automatically detect setting" เพื่อกำหนดให้ตรวจสอบ Proxy Server โดยอัตโนมัติ
หลังจากนี้ก็ให้คลิกที่ปุ่ม OK และออกจากการเซตอัพ Internet Options นี้ ซึ่งเท่านี้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มากกว่าสองเครื่องในบ้านคุณ ก็พร้อมจะใช้งานอินเทอร์เน็ตได้โดยใช้แอ็กเคานต์และคู่สายโทรศัพท์เพียงคู่เดียว บนวินโดวส์เอ็กซ์พีแล้ว

































วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

ย่อไอคอนในเมนู Start

ใครที่ใช้ Windows Vista แล้วรู้สึกรำคาญที่เวลาคลิ้กเมนู Start แล้วรายการมันโผล่เด้งสูงขึ้นมาเกือบชนหน้าจอด้านบน สาเหตุก็มาจากไอคอนที่ใช้เมนูนั้นมีขนาดใหญ่นั่นเอง ทิปที่นำมาฝากวันนี้แก้ปัญหาให้ท่านได้ครับ

หลายคนอาจไม่ทราบว่า เราสามารถลดขนาดของไอคอนที่ปรากฎในรายการของเมนู Start ใน Windows Vista ได้ เนื่องจากตัวเลือกในการปรับแต่งจะอยู่เป็นรายการสุดท้ายที่ผู้ใช้ต้องเลื่อน scroll bar ลงมาจนสุดจึงจะพบ สำหรับขั้นตอนการเปลี่ยนไอคอนในเมนู Start ให้เล็กลง เพื่อแถบของรายการจะได้ไม่เด้งสูงจนเกือบชนหน้าจอด้านบนด้วยการเลือกไอคอนขนาดเล็ก สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

เริ่มต้นด้วยการคลิ้กขวาบนพื้นที่ว่างของทาสก์บาร์ เลือกคำสั่ง Properties คลิ้กแท็บ Start Menu แล้วคลิ้กปุ่ม Customize... เลื่อนสกอลบ๊อกซ์ลงมาจนถึงล่างสุดจะเห็นรายการ "Use large icons" คลิ้กยกเลิกเครื่องหมายถูกในเช็คบ๊อกซ์ที่อยู่หน้ารายการนี้ แล้วคลิ้กปุ่ม OK 2 ครั้ง เพียงแค่นี้ ไอคอนในเมนู Start ก็จะเล็กลง และแถบแสดงรายการเมนูก็จะไม่สูงเหมือนเดิมจนบดบังเดสก์ทอปอันสวยงามของคุณแล้วล่ะครับ

กำจัดข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เก่า

อยากทราบวิธีที่ดีทีสุดในการทำลายข้อมูลที่เป็นความลับ ซึ่งอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าค่ะ โดยไม่ต้องการให้ใครสามารถกู้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นขึ้นมาได้อีก รบกวนช่วยแนะนำวิธีทำลาย หรือซอฟต์แวร์ที่จะช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วยค่ะ

คำถามยอดฮิตสลับกับวิธีกู้ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ หรือแฟลชไดรฟ์ เรือยไปจนถึงการ์ดหน่วยความจำในกล้องถ่ายรูปก็คือ การทำลายข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ให้สิ้นซาก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยตอบไปแล้วว่า สามารถใช้ซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า Heidi Eraser หรือไม่ก็ใช้เครื่องทำลายฮาร์ดดิสก์แบบมือหมุนที่ได้เคยนำเสนอไปแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าอยากไฮเทคฯ หน่อยก็ใช้รุ่นข้างล่างนี้ แบบว่า แค่กดปุ่มปุ๊บ ฮาร์ดดิสก์ มือถือ หรือเครื่องเล่นเอ็มพีสาม จะถูกเจาะกดกระแทกเป็น 4 รูทะลุจนไม่สามารถกู้ข้อมูลกลับมาได้อีก

แต่นั่นดูจะเป็นวิธีทีโหดและลงทุนมากไปหน่อย ล่าสุดผมไปพบซอฟต์แวร์ทำลายข้อมูลที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งชื่อว่า Active@killdisk บนเว็บไซต์ killdisk.com ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี โดยซอฟต์แวร์ตัวนี้จะเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมดในฮาร์ดดิสก์ของคุณให้กลายเป็นขยะด้วยการเขียนทับด้วย "0" ตลอดจนทั่วฮาร์ดดิสก์ (เวอร์ชันโปรฯ สนับสนุนถึง 17 มาตรฐานความปลอดภัยในการลบข้อมูล) เหตุผลที่จำเป็นต้องลบด้วยวิธีนี้ก็เนื่องจากเวลาลบไฟล์ใน Windows มันไม่ได้ถูกลบจริงๆ ข้อมูลที่ถูกลบยังอยู่ในฮาร์ดดิสก์ การเขียนทับด้วยข้อมูลอื่นจึงเป็นวิธีลบที่ปลอดภัยที่สุด

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

Firefox: ยกเลิกการเรียกคืน "Session"

ทุกครั้งที่ Firefox 3.5.2 ล่มการทำงาน เวลาเปิดขึ้นมา มันมักจะเรียกคืนหน้าเว็บทั้งหมด (restore session) ก่อนระบบจะเดี้ยงลงไป ซึ่งส่วนตัวผมไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้มากนัก บ่อยครั้ง(พักหลังล่มบ่อยเหลือเกิน)มันทำให้ผมต้องรอโหลดหน้าเว็บที่ไม่ได้อยากดู แต่ยังไม่ได้ปิดก่อนมันเดี้ยง พอจะมีวิธียกเลิกคุณสมบัติการทำงานนี้บ้างไหมครับ?
ก่อนอื่นคงต้องถามว่า แน่ใจนะครับ ว่าต้องการอย่างนั้น ถ้าต้องการจริงๆ ก็จัดให้ได้ครับ โดยขั้นแรกให้คุณเปิดบราวเซอร์ Firefox ขึ้นทำงาน จากนั้นพิมพ์ในช่องแอดเดรสว่า about:config ขั้นตอนต่อไปก็คือ พิมพ์ในช่อง filter เพื่อหารายการที่ระบุว่า browser.sessionstore.max_resumed_crashes ให้ดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการนี้ แล้วกำหนดค่าของมันให้เป็น "0" รีสตาร์ทไฟร์ฟอกซ์ก็เป็นอันเรียบร้อย ซึ่งหลังจากนี้ไป เมื่อ Firefox เดี้ยงขึ้นมาขณะทำงาน เวลาเปิดโปรแกรมขึ้นมาใหม่ มันจะไม่มีการ restore session ให้คุณอีกต่อไปแล้วนะครับ จนกว่าคุณจะแก้กลับคืนเป็นอย่างเดิม...เราเตือนท่านแล้วนะ :p

Windows 7 ปลอดภัยจากช่องโหว่ แต่...

รายงานข่าวล่าสุด ไมโครซอฟท์ได้เปิดเผยถึงคำแนะนำในการป้องกันช่องโหว่ของโพรโตคอล SMB2 ที่พบใน Windows 7, Windows Vista และ Windows Server 2008 ซึ่งได้มีการรายงานข่าวให้ทราบไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ ประเด็นสำคัญที่เปิดเผยออกมา และตรงข้ามกับรายงานข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ก็คือ Windows 7 และ Windows Server 2008 R2 จะไม่โดนหางเลขจากช่องโหว่ดังกล่าว...
แต่สำหรับ Windows 7 RC ที่ออกมาก่อนหน้านี้ รวมถึง Windows Vista ทุกเวอร์ชัน และ Windows Server 2008 จะยังคงตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการโดนโจมตี อันเนื่องจากช่องโหว่ดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่ได้มีการชี้แจงออกมาก็คือ Windows 7 เวอร์ชันสมบูรณ์ได้รับการแก้ไขช่องโหว่ไปแล้วก่อนหน้านี้ (ตอนไหนล่ะ?) หากเป็นตามนี้จริง นั่นแสดงว่า ทางไมโครซอฟท์ต้องทราบเรื่องนี้ล่วงหน้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นทำไมแพตช์ล่าสุดที่ออกมาเมื่อวันอังคาร Windows Vista และ Windows Server 2008 ถึงไม่ได้รับการแก้ไขอุดช่องโหว่ซะให้เรียบร้อย รวมถึงผู้ใช้ที่ลง Windows 7 RC ไปแล้วก่อนหน้านี้
ในส่วนของช่องโหว่ที่พบใน SMB2 ผู้ไม่หวังดีแค่ส่งแพ็คเก็ต (packet) ข้อมูลเพียงชุดเดียว ก็สามารถเจาะเข้าไปในระบบ เพื่อสั่งรันโค้ดจากระยะไกล ตลอดจนการสร้างการโจมตีแบบ DDoS เพื่อทำให้ระบบล่มได้ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานการถูกโจมตีด้วยช่องโหว่นีแต่อย่างใด
ไมโครซอฟท์ได้เปิดเผยถึงวิธีลดปัจจัยเสี่ยงจากการโดนโจมตีด้วยช่องโหว่ SMB2 โดยแนะนำให้ปิดพอร์ต TCP หมายเลข 139 และ 445 ที่ไฟร์วอลล์ในเครื่อง หรือบนเครือข่าย จะสามารถช่วยป้องกันการโจมตีได้ นอกจากนี้คำแนะนำที่เปิดเผยออกมา ยังรวมถึงคำสั่งในการยกเลิกการทำงานของโพรโตคอล SMB2 อีกด้วย
ข้อมูลจาก: pcmag-->

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

windows: Ctrl+F4 มีไว้ทำอะไร?

ถาม: ปกติเรามักจะใช้ Alt+F4 เพื่อปิดหน้าต่างโปรแกรมที่ใช้งานอยู่บน Windows แต่ได้ยินเพื่อนบอกว่า มันมี Ctrl+F4 ด้วยนะ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า มันมีไว้ทำอะไร? ลองกดดูแล้วไม่เห็นจะเกิดอะไรขึ้นเลย ว่าแต่ผมกำลังโดนเพื่อนอำเล่นอยู่หรือเปล่าครับ?

ตอบ: ก่อนอื่นต้อบอกว่า เพื่อนของคุณไม่ได้อำเล่นหรอกครับ Ctrl+F4 มีจริงๆ อย่างไรก็ดี ผมขอถือโอกาสนี้แจกแจงให้ทราบถึงแนวคิด และความแตกต่างของการใช้งานชุดปุ่มควบคุมทั้งสองไปพร้อมกันเลยดีกว่านะครับ

Alt+F4 เมื่อผู้ใช้กดปุ่มนี้พร้อมกัน จะเป็นการสั่งปิดหน้าต่างโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ในขณะนั้น ความหมายของมันจะเหมือนกับการใช้เมาส์คลิกที่ปุ่มกากบาทสีแดงบนมุมขวาของหน้าต่างโปรแกรมนั่นเอง มักจะใช้บ่อยๆ เวลาที่มือไม่ได้อยู่บนเมาส์ เพราะมันคล่องตัวกว่า

Alt กับ Ctrl ใน Windows แต่ก่อนที่ผมจะพูดถึง Ctrl+F4 ว่ามันทำอะไร ขออธิบายแนวคิดของการใช้งานปุ่มทั้งสองนี้ก่อน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านในวงกว้าง ความแตกต่างระหว่าง ATL กับ CTRL ก็คือ ถ้าเป็น ALT จะหมายถึงการควบคุมในระดับแอพพลิเคชัน ส่วน CTRL จะหมายถึงการควบคุมระดับ"ภายใน"แอพพลิเคชัน ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณกด Alt+TAB มันจะเป็นการสลับ(switch)การเลือกหน้าต่างแอพพลิเคชันต่างๆ ที่เปิดใช้งานอยู่ในขณะนั้น แต่ถ้าเป็น CTRL+TAB จะเป็นสลับการเลือกหน้าต่างเอกสารที่อยู่ภายในแอพพลิเคชันที่กำลังใช้งาน เพื่อให้เห็นภาพอีกนิดนึ่ง เช่น การใช้ Ctrl+TAB ในบราวเซอร์ IE/Firefox/Chrome มันจะเป็นการสับเปลียนแท็บต่างๆ ที่อยู่"ภายใน"หน้าต่างโปรแกรมนั่นเอง คราวนี้คงจะเข้าใจความแตกต่างแล้วนะครับ

Ctrl+F4 หมายถึงการปิดเอกสารที่เปิดอยู่ภายในแอพพลิเคชันที่สนับสนุนการเปิดเอกสารได้หลายไฟล์ภายในโปรแกรม เช่น Word มันจะทำงานเหมือนกับการคลิกปุ่ม Xของหน้าต่างเอกสารที่อยู่ภายในโปรแกรมนั่นเอง (อยุ่ถัดลงมาจากปุ่มกากบาทสีแดงของหน้าต่างโปรแกรมนั้นๆ) แต่ถ้าเป็นในบราวเซอร์ IE/Firefox/Chrome ก็จะหมายถึงการปิดแท็บของหน้าเว็บที่คุณกำลังดูอยู่ในขณะนั้นความจริง Alt และ Ctrl ยังใช้งานร่วมกับปุ่มอื่นๆ สำหรับการทำหน้าที่เป็นคีย์ลัด(shortcut) ด้วย อย่างเช่น Alt+W ที่ใช้เปิดเมนู Window หรือ Alt+F เป็นเมนู File ของโปรแกรมที่ใช้งานนั้นๆ ในขณะที่หลายโปรแกรมจะยังคงใช้ Ctrl+W เพื่อปิดหน้าต่างเอกสารที่เปิดอยู่ภายในแอพพลิเคชัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันเหมือนกับกดปุ่ม Ctrl+F4 นั่นเอง ใครสะดวกใช้อันไหนก็ว่ากันไป ไม่ผิดกฎหมายครับ :p


windows: มองไม่เห็นเคอร์เซอร์

ถาม: ตอนนี้ผมใช้วินโดวส์วิสต้าอยู่ครับ ปัญหาที่ประสบอยู่ก็คือ ผมมองไม่ค่อยเห็นเคอร์เซอร์ที่กระพริบในโปรแกรม ทำให้รู้สึกเสียเวลามองหาอยู่บ่อยๆ รบกวนช่วยแนะนำวิธีแก้ไขให้คนวัยเกษียณอยากเก่งคอมพ์ด้วยครับ

ตอบ: อย่าว่าแต่คนวัยเกษียณเลยครับที่พบปัญหานี้ ผู้ใช้ที่ชอบตั้งค่าความละเอียดของหน้าจอสูงๆ ก็มีโอกาสที่จะมองหาเคอร์เซอร์เส้นบางๆ ที่กระพริบอยู่บนหน้าจอไม่เจอเหมือนกัน สำหรับวิธีแก้ก็คือ ต้องทำให้เคอร์เซอร์อ้วนขึ้นอีกสักเล็กน้อย เพื่อจะสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น

สำหรับผู้ใช้ Windows Vista ให้คลิ้กปุ่ม Start เลือก Control Panel จากนั้นคลิกที่รายการ Ease of Access ตามด้วย Optimize visual display มองหาหัวข้อ Make things on the screen easier to see จะพบข้อความ Set the thickness of blinking cursor: จากนั้นคลิกเลือกความหนา(ค่าเริ่มต้นเป็น 1) ซึ่งสามารถตั้งค่าความหนาได้สูงสุดถึง 20 เลยทีเดียว เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Apply และ Save ตามลำดับ

ส่วนผู้ใช้ Windows XP ให้คลิ้ก Start เลือก Control Panel ตามด้วย Accessibility Options เลือกแท็บ Display ภายในกรอบ Cursor Options ที่อยูด้านล่าง เลื่อนสไลด์ไปทางขวา เพื่อปรับขนาดเคอร์เซอร์ให้ใหญ่ขึ้น เมื่อได้ขนาดตามที่ต้องการคลิ้กปุ่ม Apply และ OK ตามลำดับ

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

windows: ถอด Win7 ออกจาก Vista?

เพียงแค่เข้าไปใน MSCONFIG แล้วคลิกแท็บ BOOT.INI จากนั้นคลิกปุ่ม "Check All Boot Paths" ซึ่งถ้า Windows XP พบว่า มี OS ตัวใดตัวหนึ่งไม่มีอยู่ในระบบแล้ว มันก็จะลบออกจากรายการบู๊ตตอนเปิดเครื่องให้ทันที

แต่พอมาเป็น Vista หรือ Windows 7 คุณจะไม่พบปุ่มที่ว่านี้ แต่คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยสองมือเปล่าเช่นเดียวกัน เริ่มต้นด้วยการคลิกปุ่ม Start แล้วพิมพ์ MSCONFIG จากนั้นกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด คลิ้กแท็บ Boot ซึ่งตรงนี้จะเห็นรายชื่อ OS ที่ทำ dual-boot ซึ่งตอนนี้คุณจะไม่สามารถลบบรรทัด Windows 7 ออกไปได้ทันที เนื่องจากมันถูกกำหนดให้เป็นโอเอสที่บู๊ตตอนเริ่มต้น (default) หากปล่อยให้มันบู๊ตเอง ดังนั้นคุณต้องเลือกบรรทัด Vista ก่อน แล้วคลิกปุ่ม Set as Default จากนั้นคลิ้กปุ่ม Apply คราวนี้เลือกบรรทัด Windows 7 ใหม่ แล้วคลิ้กปุ่ม Delete ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้วล่ะครับ

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

windows: หยุด!!!อย่าเพิ่งชัตดาวน์

เชื่อว่า คุณผู้อ่านน่าจะเคยประสบกับเหตุการณ์ต่อไปนี้กันมาบ้าง ขณะที่คุณกำลังรีบปิดเครื่องด้วยการเลือกคำสั่ง Shutdown แต่ด้วยความร้อนรนก็เลยเลือกผิดเป็น Restart กลายเป็นว่า แทนที่จะได้ไปทำธุระโดยเร็ซ กลับต้องรอให้มันเริ่มต้นทำงานขึ้นมาก่อนแล้วค่อยสั่ง Shutdown กันใหม่อีกทีหนึ่ง...เฮ่อ...
คงจะดีนะครับ หากเราสามารถหยุดการชัตดาวน์ หรือรีสตาร์ทขณะนั้นได้ แทนที่จะต้องนั่งรอ ซึ่งสำหรับใครที่ติดตามทิปของ arip เป็นประจำคงจะจำยูทิลิตี้ shutdown.exe ได้ งานนี้มันเป็นพระเอกให้เราอีกแล้วล่ะครับ

ในโปรแกรม shutdown.exe จะมีสวิทช์การทำงานอยู่ตัวหนึงนั่นคือ -a ซึ่งมันจะสังให้ Windows ยกเลิกการชัตดาวน์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น (โอ้ว...ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคำสั่งแบบนี้ด้วย) ดังนั้นหากคุณ หรือเพื่อนสนิทชอบสะเพร่าปิดผิดปิดถูกอยู่เป็นประจำ หรือชอบฉุกคิดได้ระหว่างชัตดาวน์ว่าต้องทำอะไรอีกก่อนปิดเครื่อง สำหรับวิธีที่สะดวกทีสุดก็คือ การทำชอร์ทคัตไว้บนเดสก์ทอป ทันทีที่นึกได้ว่า ยังไม่อยากชัตดาวน์ขณะนั้นก็แค่ดับเบิ้ลคลิ้กให้ยูทิลิตี้ทำงาน วินโดวส์ก็จะหยุดกระบวนการชัตดาวน์ทันที ข้างล่างนี้คือคำสั่งที่ต้องพิมพ์เข้าไปในตอนสร้างชอร์ทคัตครับ

windows 7: บางอย่างที่เปลี่ยนไป?

ผู้ใช้บางท่านอาจจะคุ้นเคยกับวิธีลาก (drag) ไฟล์ข้อมูลไปวาง (drop) บนไอคอนโปรแกรมที่อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Quick Launch (ไอคอนโปรแกรมเล็กๆ ที่อยู่ถัดจากปุ่ม Start บน Taskbar) ซึ่งโปรแกรมจะถูกเปิดขึ้นมาพร้อมกับโหลดไฟล์ข้อมูลเข้าไปให้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเป็น Windows 7 มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณคิด?
อย่างไรก็ตาม การเปลียนแปลงที่เกิดขึ้นใน Windows 7 ก็ไม่ถึงกับสลัดทิ้งคุณสมบัติการทำงานดังกล่าวออกไปเลย เพียงแต่เพิ่มขั้นตอน หรือต้องออกแรงอีกนิดหน่อย โดยเมื่อคุณลากไฟล์ข้อมูลไปวางบนไอคอนโปรแกรม แทนที่จะเห็นเครื่องหมายบวกปรากฎขึ้นมา มันกลับตั้งคำถามกับคุณว่า ต้องการทำชอร์ทคัตสำหรับไฟล์ข้อมูลกับแอพพลิเคชันนี้ หรือไม่?(Pin to Application)

เมื่อลองคลิ้กขวาบนไอคอนโปรแกรมใน Quick Launch คุณจะพบว่า ไฟล์ข้อมูลดังกล่าวได้ปักหมุด (Pin) กับแอพพลิเคชันเรียบร้อยแล้ว ดังรูป

แต่อย่างที่บอกแล้วว่า Windows 7 ไม่ถึงกับใจไม้ใส้ระกำตัดขาดฟีเจอร์นี้ไปเลย เพียงแต่มันไม่ได้เป็นค่าดีฟอลต์ของการทำงาน หากคุณต้องการเปิดไฟล์ข้อมูลด้วยโปรแกรมใน Quick Launch ให้กดปุ่ม Shift ค้างไว้ด้วยขณะลากไฟล์มาวาง ซึ่งคราวนี้มันจะเปลี่ยนคำถามเป็น "Open with Application" แทน

หวังว่า ใครที่กำลังลองใช้ Windows 7 อยู่แล้วสงสัยว่า ฟังก์ชันนี้มันหายไปไหน? คราวนี้ก็คงจะได้คำตอบกันแล้วนะครับ ว่ามันยังอยู่...แค่ต้องออกแรงกดปุ่ม Shift เพิ่มเท่านั้น

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กำจัด"คุ้กกี้"ปีศาจ!!!

คุ้กกี้ (Cookies) คือไฟล์ข้อความ (text file) ขนาดเล็กที่ถูกทิ้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้้ใช้ โดยเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งวัตถุประสงค์โดยทั่วไป เพื่อให้เว็บไซต์จดจำผู้ใช้ได้เวลากลับเข้ามาเยี่ยมชมในครั้งต่อไป แต่บางเว็บไซต์ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงแค่นั้น...
ปกิตเวลาที่ผู้ใช้เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ มันมักจะมีการทิ้งไฟล์ข้อความขนาดเล็กที่เรียกว่า "คุ้กกี้" ทิ้งไว้ในเครื่อง ซึ่งบราวเซอร์ทุกตัวจะสามารถลบคุ้กกี้เหล่านี้ออกไปได้ แต่อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นแล้วว่า คุ้กกี้บางชนิด มันไม่ได้มีไว้แค่จดจำผู้ใช้เวลากลับมาเยี่ยมชมเท่านั้น โดยเฉพาะคุ้กกิ้ที่เว็บไซต์โฆษณาทิ้งไว้ในเครืองของเรา ซึ่งมันจะใช้คุ้กกี้ในการติดตาม (tracking) ว่า คุณได้เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ใดบ้าง เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมความสนใจของคุณ โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว และไม่รู้อีกด้วยว่าจะเลือกกำจัดคุ้กกี้พวกนี้ออกไปได้อย่างไร?
Cookienator ฟรีแวร์ที่ช่วยสแกนหา คุ้กกี้วายร้ายที่ทางเว็บไซต์โฆษณาทิ้งไว้ติดตามการท่องเว็บของคุณ อย่างเช่น Google, AOL, Yahoo, MSN, Webtrends, Omniture, Doubleclick, Intellitxt, Advertising.com เป็นต้น ซึ่งหลังจากที่มันสแกนคุ้กกี้พวกนี้ขึ้นมาได้ครบแล้ว ผู้ใช้สามารถสั่งลบได้ภายในคลิ้กเดียว Cookienator สนับสนุนผู้ใช้บราวเซอร์แทบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น IE, Firefox, Chrome และ Safari สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่
ทิปจาก : www.arip.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

7 วิธีถนอมพลังงานแบตฯโน้ตบุ๊ก

สำหรับวินทิปในครั้งนี้ ขอเสนอวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยถนอมพลังงานแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊กที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP ให้สามารถใช้งานได้นานขึ้น ไม่หมดเร็วเกินไป...
ถ้าพบว่า โน้ตบุ๊กที่รัน Windows XP ของคุณมีปัญหาใช้พลังงานแบตเตอรี่หมดค่อนข้างเร็ว (กรณีนี้แบตฯ ต้องไม่เก่า หรือเสื่อมสภาพแล้วนะครับ) ทำให้ต้องคอยรีชาร์จอยู่บ่อย เทคนิค 7 ข้อต่อไปนี้น่าจะช่วยคุณได้ ลองนำไปปฏิบัติดูนะครับ
1. ตรวจสอบแบตเตอรี่ที่ใช้ว่ายังคงสามารถชาร์จพลังงานได้เต็ม หรือไม่? ซึ่งขั้นตอนของการทดสอบโดยทั่วไปให้ชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มก่อน (ดูจาก Power Meter ใน Power Options) จากนั้นปิดโน้ตบุ๊ก ถอดแบตเตอรี่ออก เพื่อทดสอบว่า มันยังสามารถชาร์จประจุได้เต็ม หรือไม่? โดยมองหาปุ่มที่ใช้ทดสอบที่อยู่บนแบตเตอรี่ ซึ่งบางรุ่นก็จะมีส่วนแสดงผลเล็กๆ ให้สังเกตุได้ง่าย ทั้งนี้จะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ของผู้ผลิตแต่ละเจ้า
2. ถ้าไม่จำเป็นต้องออนไลน์กับเครือข่ายใดๆ แนะนำให้ออฟไลน์จะดีกว่า (ยกเลิก (disable) การเชื่อมต่อกับเครือข่าย) การเชื่อมต่อเครือข่ายตลอดเวลาจะทำให้โน้ตบุ๊กต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติ
3. ถอดอุปกรณ์ USB ออกจากพอร์ต เมื่อไม่ได้ใช้งาน
4. ยกเลิกโพรเซสแบคกราวด์ที่ไม่จำเป็นออกให้หมด อย่างเช่น Rnaap ซึ่งถูกโหลดตอนไดอัลอัพ และค้างอยู่ในหน่วยความจำ หรือ Msmsgs.exe กรณีที่คุณไม่ได้ใช้ Microsoft Messenger เป็นต้น แต่ห้ามยกเลิกโพรเซสของซอฟต์แวร์ไฟร์วอล หรือแอนตี้ไวรัส เพราะมันจะทำให้ระบบของคุณตกอยู่ในความเสี่ยง นอกจากนี้ยังห้ามลบโพรเซสที่สำคัญของ Windows XP ซึ่งได้แก่ Explorer.exe, LSASS.EXE, services.exe, System และ WINLOGON.EXE ส่วนวิธีกำจัดโพรเซสที่ไม่จำเป็นให้เรียกโปรแกรม Task Manager (กดปุ่ม Ctrl-Alt-Del) แล้วคลิกแท็บ Processes เลือกโพรเซสที่ต้องการลบออกจากหน่วยความจำ คลิกปุ่ม End Process
5. เปลี่ยน Screensaver เป็น “Blank Screen” เพราะมันไม่จำเป็นเลยที่คุณต้องเสียพลังงาน เพื่อแสดงภาพดอกไม้ไฟ, ตู้ปลา หรือข้อความเลื่อนลอย
6. ถึงคุณจะไม่สามารถยกเลิกโพรเซสการทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส แต่ก็ไม่ควรกำหนดให้ซอฟต์แวร์สแกนระบบโดยสมบูรณ์ขณะที่ไม่ได้เสียบปลั๊ก เพราะมันจะทำให้พลังงานของแบตฯ หมดเร็วจนน่าใจหายเลยล่ะ (กรณีของการสแกนหาสปายแวร์ด้วย)
7. สำคัญที่สุดคือ เมื่อเวลาที่โน้ตบุ๊กไม่อยู่ในระหว่างการใช้งาน แนะนำให้ชัตดาวน์ระบบ หรืออาจจะเข้าโหมดแสตนด์บาย (standby) หรือไฮเบอร์เนต (hibernate) จะดีกว่าการเปิดเครื่องทิ้งไว้เฉยๆ เชื่อว่า หากปฏิบัติตามเทคนิคง่ายๆ ทั้ง 7 ข้อนี้แล้ว คุณจะสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่บนโน้ตบุ๊กได้นานขึ้น ไม่ต้องชาร์จบ่อยเหมือนแต่ก่อน ลองไปทำดูนะครับ สำหรับวิธียืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ แนะนำให้ใช้พลังงานจากแบตเตอรีให้หมดทุกครั้ง แล้วจึงชาร์จใหม่จนเต็ม และเมื่อเต็มแล้วก็ควรใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แทนการเสียบปลั๊กต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เพราะแบตฯจะเสื่อมเร็วครับ

ยืดอายุแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กให้อยู่กับคุณนานๆ

ก่อนอื่นต้องชี้แจงก่อนว่า อายุแบตเตอรี่ในที่นี้หมายถึง อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่พวกมันเสื่อมสภาพ (โดยไม่ได้ลุกไหม้ไปเสียก่อน) สำหรับวินทิปในตอนนี้ขอแนะนำวิธีเก็บรักษา และใช้งานแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานพวกมันได้นานเท่าที่ควร

แบตเตอรี่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก เพราะถ้าขาดมัน หรือใช้แบตฯที่เสื่อมสภาพ (ชาร์จนานแต่หมดไว) คงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุด ซึ่งความจริงของชีวิตที่คุณปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันก็คือ โน้ตบุ๊กส่วนใหญ่รวมถึงอุปกรณ์พกพาอิเล็กทรอนิกส์ต่างก็ใช้แบตเตอรี่ที่เป็นลิเธียมอิออน (Li-ion) กันแทบทั้งนั้น โดยแบตฯ พวกนี้จะเริ่มเสื่อมสภาพตามกาลเวลาตั้งแต่วันผลิต และจะเสื่อมลงไปอย่างต่อเนื่องตามจำนวนครั้งของการชาร์จ ประเด็นก็คือ ราคาของแบตเตอรี่พวกนี้ค่อนข้างสูงพอสมควร ซึ่งหากเปรียบเทียบการเปลี่ยนแบตเตอรี่กับการหาวิธียืดอายุให้พวกมันใช้งานได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนอย่างหลังจะน่าสนใจกว่ามาก ข้อเท็จจริงต่อไปนี้จะช่วยให้ทุกท่านมีวิธีที่จะดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้อยู่กับคุณได้นานขึ้นครับ สำหรับศัตรูตัวแรกของแบตเตอรี่ Li-Ion ก็คือ "ความร้อน" ยกตัวอย่างผลการทดสอบที่ออกมาพบว่า แบตเตอรี่ Li-ion ที่ได้รับการชาร์จไฟปกติ และถูกใช้งานที่ระดับอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียสจะมีความสามารถเก็บประจุได้ลดลงแค่ 2% เท่านั้น เมื่อใช้งานไป 1 ปี และความสามารถในการเก็บประจุจะลดลงเป็น 6% ในปีที่ 2 แต่นั่นคงเฉพาะผู้ใช้โน้ตบุ๊กแถวบริเวณขั้วโลกเหนือ (หรือใต้) เท่านั้น เพราะหากพิจารณาที่อุณหภูมิห้อง 25 องศาเซลเซียส (ติดแอร์) แค่ปีแรก ความสามารถในการเก็บประจุของแบตเตอรี่ก็จะตกลงไปถึง 4% และจะลดฮวบลงไปถึง 20% ในปีที่สอง การดิสชาร์จประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่จนแทบไม่เหลือ (ใช้แบตฯจนหยดสุดท้าย) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อายุใช้งานของพวกมันสั้นลง โดยการชาร์จ และดิสชาร์จจนหมดประมาณ 100 ครั้ง จะลดความสามารถในการเก็บประจุของแบตเตอรี่ลงไปได้มากถึง 75% เลยทีเดียว กล่าวโดยสรุป สำหรับวิธีที่ดีทีสุดที่จะช่วยคุณยืดอายุใช้งานแบตเตอรี่ให้ได้ยาวนาน 3 – 5 ปี ก็คือ ข้อแรก พยายามให้แบตเตอรี่ได้อยู่ในที่เย็น อย่าเก็บโน้ตบุ๊กไว้ในรถที่จอดอยู่กลางแจ้ง ข้อต่อมา พยายามรักษาระดับการชาร์จประจุไว้ที่ 40% – 50% อย่าให้เหลือน้อยกว่านี้แล้วจึงชาร์จ ในกรณีที่คุณมีแบต 2 ก้อนสลับกันใช้ สำหรับก้อนที่ยังไม่ได้ใช้งานอาจเก็บไว้ในตู้เย็น แต่ไม่ถึงกับต้องไว้ในช่องแช่แข็งนะครับ โดยห่อหุ้มด้วยวัสดุป้องกันความชื้น ซึ่งหลังจากนำออกมาตู้เย็น ให้รอจนมันมีอุณหภูมิเท่ากับห้องก่อนใช้งาน แบตเตอรี่ของคุณจะแข็งแรงมีอายุใช้งานนานขึ้น (หมายถึง เสื่อมช้าลงนั่นเอง) อ้อ...และถ้าคุณมีความจำเป็นต้องซื้อแบตเตอรี่ใหม่ อย่าลืมตรวจสอบวันผลิตด้วย ที่สำคัญหลีกเลี่ยงการซื้อแบตเตอรี่ที่ตกค้างในสต๊อก และอย่าลืมตรวจสอบหมายเลขซีเรียลของแบตฯด้วยว่า ไม่ตรงกับชุดแบตเตอรี่ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ด้วยนะครับ

วินโดวส์ต้องการหน่วยความจำเสมือน?

จู่ๆ คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ก็แจ้งเตือนว่า “Windows is increasing your virtual memory” ซึ่งดิฉันไม่เข้าใจความหมายของมันจริงๆ ค่ะ แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดีคะ?

Virtual memory หรือหน่วยความจำเสมือน ซึ่งถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมาตามฟังก์ชันของมันแล้ว ผมว่า น่าจะเรียก “หน่วยความจำสำรอง” มากกว่า เนื่องจากเวลาที่คอมพิวเตอร์ใช้หน่วยความจำหลักที่มากับเครื่อง (RAM: Random Access Memory) ไปจนเกือบหมดแล้ว ระบบปฏิบัติการก็จะใช้วิธียืมพื้นที่บางส่วนของฮาร์ดดิสก์ (ราคาถูกกว่าหน่วยความจำ แต่ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลช้ากว่า) มาใช้แทนหน่วยความจำที่ระบบต้องการ กรณีที่คอมพิวเตอร์มีความจำเป็นต้องใช้หน่วยความจำเสมือนมากๆ จะทำให้ทั้งระบบทำงานได้ช้ามาก เพราะมันต้องคอยลบ และเขียนข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์แทนหน่วยความจำหลัก แถมยังมีเสียงรบกวนเนื่องจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์อีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม หน่วยความจำเสมือนไม่ได้เป็นสิ่งไม่ดีนะครับ เนื่องจากระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่จะทำงานในระบบหลายงาน (multitasking) ซึ่งระบบจะทำงานโดยจับแอพพลิเคชันที่คุณกำลังใช้ไว้ใน RAM เพื่อให้ทำงานได้เร็ว ในขณะที่โยนแอพพลิเคชันที่คุณยังไม่ได้ใช้ขณะนั้นไว้บนฮาร์ดดิสก์ (บริเวณที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำเสมือน) ก่อนที่จะสลับมันมาลงหน่วยความจำหลัก (RAM) อีกทีหนึ่ง เมื่อคุณเรียกใช้โปรแกรมนั้นๆ ประเด็นก็คือ เมื่อคุณจำเป็นต้องรันโปรแกรมหลายตัว และต้องเรียกใช้งานกลับไปกลับมาบ่อยครั้ง คุณจะรู้สึกเบื่อกับการรอคอยให้โปรแกรมแต่ละตัวสลับกันเข้าออกจากหน่วยความจำหลักกับหน่วยความจำเสมือน (ฮาร์ดดิสก์) อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย

สำหรับวิธีปัญหาที่เกิดขึ้นก็คุณอย่างมีประสิทธิภาพก็คือ การติดตั้งหน่วยความจำหลักเข้าไปในระบบ เนื่องจากระบบกำลังเตือนว่า ขนาดของหน่วยความจำเสมือนที่กำหนดไว้ไม่พอแล้ว ซึ่งปกติคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows XP หรือ Mac OS X ควรจะมีหน่วยความจำอย่างน้อย 512MB อย่างไรก็ตาม ก่อนติดตั้ง RAM เพิ่มเติม อยากให้สแกนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณก่อนด้วยว่า ไม่ได้ถูกแอบเขมือบหน่วยความจำโดยไวรัส สปายแวร์ หรือแอดแวร์ต่างๆ เพราะไม่งั้น การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นก็เป็นได้ ขอให้โชคดีในการแก้ปัญหานะครับ

ปัญหาคอมพ์อืด...บู๊ตนาน 5 นาที!!!

คอมพิวเตอร์ที่ผมใช้ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows XP Home เหตุการณ์ล่าสุดคือ มันใช้เวลาในการบู๊ตเครื่องประมาณ 5 นาที ซึ่งมันเป็นอย่างนี้มาได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้ว ไม่ทราบว่า มันถึงเวลาที่ผมควรจะทำความสะอาดฮาร์ดดิสก์ครั้งใหญ่ โดยแบคอัพ แล้วลงโปรแกรมทุกอย่างใหม่หมดใช่ไหมครับ?

ฟังๆ ดูมันก็อาจถึงเวลาที่คุณว่าแล้วก็ได้ แต่ก่อนจะตัดสินใจทำเช่นนั้น ผมอยากแนะนำให้ลองทำอะไรบางอย่างก่อนดีกว่าครับ เผื่อว่า บางทีคุณอาจจะเข้าใจผิด ขั้นแรกเปิดยูทิลิตี้ Windows Configuration โดยพิมพ์คำสั่ง msconfig เข้าไปในไดอะล็อกบ๊อกซ์ Run ในเมนู Start (คลิกปุ่ม Start เลือกคำสั่ง Run หรือกดปุ่ม Windows + R) ในแท็บ General คลิกยกเลิกรายการที่อยู่ภายใต้ “Selective Startup” ซึ่งได้แก่ Process SYSTEM.INI File, Process WIN.INI File, Load System Services และ Load Startup Items ทีละรายการ แล้วลองรีบู๊ตเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นสังเกตความแตกต่าง ถ้าการบู๊ตยังคงช้าเหมือนเดิม ให้คุณคลิกเลือกรายการนั้นซ้ำ แล้วคลิกยกเลิกรายการถัดไป

การตรวจสอบในลักษณะนี้จะช่วยให้คุณมีโอกาสทราบได้ว่า รายการใดที่ยกเลิกแล้ว คอมพิวเตอร์ของคุณสามารถบู๊ตเครื่องได้เร็วขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคุณพบตัวการของปัญหาแล้ว ให้คลิกแท็บที่มีชื่อตรงกัน ซึ่งภายในแท็บดังกล่าวก็จะมีรายการต่างๆ ที่ถูกโหลดในขั้นตอนการบู๊ตอีกจำนวนหนึ่ง ให้คุณทดลองเหมือนขั้นตอนแรก กล่าวคือ คลิกยกเลิกทีละรายการแล้วลองบู๊ตเครื่องใหม่ จนกว่าจะพบตัวการที่ทำให้บู๊ตเครื่องช้ามาก ถ้าคุณไม่ทราบชื่อของรายการที่เป็นตัวการ ลองค้นหาใน Google และหากเครื่องคอมพิวเตอร์บู๊ตได้เร็วเป็นปกติเหมือนแต่ก่อน ก็แนะนำให้ยกเลิกเช็คบ๊อกซ์ตัวการนั้นซะ หากคุณทดลองทำตามขั้นตอนทั้งหมดนี้แล้ว คอมพิวเตอร์ของคุณยังคงบู๊ตช้าเหมือนเดิม ก็คงได้เวลาล้างท่อแล้วล่ะครับ

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

windows: อยากอัพเกรดใช้ Windows 7

จากข้อมูลบนหน้าเว็บของไมโครซอฟท์บอกว่า ความต้องการพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถรัน Windows 7 ได้จะต้องมีหน่วยความจำอย่างน้อย 1GB และโพรเซสเซอร์ที่มีความเร็วขั้นต่ำ 1GHz นอกจากนี้ ระบบยังต้องการพื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ 16GB สำหรับการติดตั้ง ในกรณีทีใช้โพรเซสเซอร์ 64Bit จะต้องมีหน่วยความจำอย่างน้อย 2GB และมีพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ 20GB ซึ่งคงจะใช้รันโอเอสได้ แต่จะใช้งานได้อย่างทีใจต้องการ หรือเปล่า? อันนี้ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ไม่แน่ใจนะครับ


อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ได้แจกฟรีโปรแกรมที่ใช้ตรวจสอบความพร้อมของฮาร์ดแวร์ ชื่อว่า Windows 7 Upgrade Advisor Beta โดยคำแนะนำสำหรับการใช้โปรแกรมนี้จะอยู่ในบล็อก Windows ซึ่งผู้่สนใจสามารถเข้าไปอ่านคำแนะนำต่อกันได้
ในกรณีที่คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Vista การอัพเกรดไปใช้ Windows 7 เมื่อมันวางตลาด ทำได้ไม่ยากเลย โดยคุณสามารถอัพเกรด Vista ไปเป็น Windows 7 ได้โดยไม่ต้องย้ายข้อมูลออกมาก่อน เพื่อติดตั้งโอเอสใหม่เข้าไป ในขณะที่ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows XP จะมีขั้นตอนอัพเกรดยุ่งยากกว่า แม้ว่า Windows 7 จะมาโปรแกรม Easy Transfer ที่ช่วยในการย้ายไฟล์ต่างๆ ก็ตาม แต่คุณก็ยังคงต้องหาฮาร์ดดิสก์ภายนอก (External Hardisk) เพื่อสำรองข้อมูลออกมาก่อน จากนั้นลบทุกอย่างออกไปให้หมดจากฮาร์ดดิสก์ ก่อนที่จะติดตั้ง Windows 7 เข้าไป (ขั้นตอนการล้างเครื่องเพื่อติดตั้งโอเอสเรียกว่า Clean Installation) ยังไม่เสร็จนะครับ เพราะหลังจากที่ติดตั้ง Windows 7 เรียบร้อยแล้ว คุณจะต้องไฟล์ทั้งหมดที่สำรองเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ภายนอกกลับเข้าไป พร้อมทั้งติดตั้งแอพพลิเคชันทั้งหมดที่ต้องการใช้เข้าไปในเครื่องอีกครั้ง...เฮ่อ...แค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

windows: ป้องกันใครแอบเขียนแผ่นซีดี

ถาม: พอดีว่าหนูกับน้องชายตัวแสบต้องใช้โน้ตบุ๊กเครื่องเดียวกันค่ะ ระยะหลังหนูจับได้ว่า น้องชายชอบทำหน้าใหญ่แอบเขียนแผ่นซีดีเพลงไปให้เพื่อนอยู่เรื่อยเลย พอจะมีวิธีป้องกัน หรือยกเลิกการเขียนแผ่น หรือเปล่าคะ? อ้อ...โน้คบุ๊กของหนูเป็น Windows Vista Home Premium ค่ะ (ความจริงพ่อของหนูบอกว่า แก้ไขได้ค่ะ แต่อยากให้หนูลองหาวิธีด้วยตัวเองก่อน ก็เลยมาถามดูค่ะ)

ตอบ: สงสัยหนูคงจะเอือมสุดๆ กับน้องชายเต็มที สำหรับวิธีป้องกันที่ถามมานั้นไม่ยากครับ เพียงแต่ต้องทำอย่างใจเย็นนิดนึง เนื่องจากมันเข้าไปยุ่งกับรีจิสทรี (registry) ของระบบปฏิบัติการ ซึ่งหลังจากแก้ไขตามขั้นตอนข้างล่างนี้แล้ว น้องชายตัวแสบของน้องจะไม่สามารถเขียนแผ่นได้อีกต่อไป จนกว่าจะแก้กลับเป็นเหมือนเดิม สำหรับวิธียกเลิกฟังก์ชันการเขียนและบันทึกแผ่นดีวิดี/ซีดี มีขั้นตอนดังนี้
1. กดปุ่ม Windows + R พิมพ์คำสั่ง regedit แล้วกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด
2. คลิกเข้าไปที่ HKEY_CURRENT_USER Software Microsoft Windows CurrentVersion Policies Explorer
3. ในกรอบด้านขวามือ เลื่อนพอยน์เตอร์เมาส์ไปที่บริเวณว่างๆ แล้วคลิกขวา เลือกคำสั่ง New ตามด้วย DWORD (32-bit) Value จากนั้นตั้งชื่อคีย์ว่า NoCDBurning




4. ดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการที่สร้างขึ้นมา ในช่อง Value data: ให้ป้อนค่า 1 เข้าไป แล้วคลิ้กปุ่ม OK

เพียงแค่นี้ เจ้าน้องชายตัวแสบก็ใช้ฟังก์ชันเขียนแผ่นไม่ได้แล้วล่ะครับ สำหรับการรีเซตให้ใช้งานได้เหมือนเดิมก็แค่แก้ค่าของ NoCDBurning ให้เป็น 0 แล้วรีสตาร์ท ฟังก์ชันเขียนแผ่นก็จะกลับมาพร้อมใช้งานเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ แต่ถ้าทำเองไม่ได้จริงๆ ก็ลองให้คุณพ่อช่วยดูก็ดีนะครับ

ทิปจาก : www.arip.co.th

Hardware: RAM เสีย? วิสต้าเช็คได้

ถาม: พอดีว่า ผมเพิ่งให้เพื่อนเพิ่ม RAM เข้าไปในคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows Vista ปรากฎว่า หลังจากนั้นระบบการทำงานก็เริ่มมีปัญหา บางทีก็รีสตาร์ทเครื่องซะงั้น พอจะมีวิธีตรวจสอบ หรือเปล่าครับว่า มันเป็นปัญหาจาก RAM ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ หรืออาจมีสาเหตุอย่างอื่นๆ อย่างไวรัสน่ะครับ?

ตอบ: สำหรับอาการที่เกิดจากการมีหน่วยความจำ (RAM) ที่ผิดปกติอยู่ในคอมพิวเตอร์นั้น สามารถแสดงออกได้หลายลักษณะ ซึ่งรวมถึงการที่จู่ๆ โปรแกรมทีใช้งานอยู่ก็ปิดการทำงานลงทันที หรือแม้แต่การเกิดจอน้ำเงินมรณะ BSOD (Blue Screen Of Death) นอกจากนี้ การที่ผู้ใช้ไม่อัพเดตแอนตี้ไวรัส ทำให้โดนไวรัสเข้าไปพักอาศัยในเครื่องมากมาย ยังอาจะส่งผลให้คอมพิวเตอร์แสดงอาการแปลกๆ ออกมาได้เช่นกัน แต่ถ้าก่อนหน้าที่จะเพิ่ม RAM เข้าไปในเครื่อง ระบบไม่เคยล่มบ่อยๆ มาก่อนเลย มันก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า หน่วยความจำที่ซื้อมาอาจมีปัญหาครับ


ความจริงคุณสามารถหาโปรแกรมทดสอบหน่วยความจำจากเว็บไซต์ต่างๆ ได้มากมาย แต่เนื่องจากคุณใช้ Windows Vista อยู่ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่ทราบว่า มันมียูทิลิตี้ตรวจสอบหน่วยความจำที่ชื่อว่า Windows Memory Diganostics Tool ให้มาด้วย เครื่องมือนี้สามารถทดสอบฮาร์ดแวร์ และรายงานปัญหาที่พบได้ ขั้นตอนการเรียกใช้ก็แค่คลิกเมนู Start พิมพ์คำว่า memory ในช่อง Search สังเกตผลลัพธ์จะมีชื่อโปรแกรม Memory Diganostics Tool ขึ้นมา

เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา มันจะมีทางเลือกในการตรวจสอบ 2 แบบคือ รีสตาร์ทเครื่องเพื่อตรวจสอบ RAM เลย หรือให้มีการทดสอบในครั้งต่อไปดังรูป สำหรับผู้ใช้ Windows XP ที่กำลังพบปัญหาเดียวกันนี้ก็สามารถดาวน์โหลด Memory Diagnostics Tool ได้จากเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์

ทิปจาก : www.arip.co.th

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Smart Tip: ปกป้องพาสเวิร์ดทั้งหมดใน Firefox

ถาม: ผมได้ยินมาว่า ผู้ไม่หวังดีสามารถแอบดูพาสเวิร์ดทั้งหมดที่เก็บไว้ในบราวเซอร์ได้ แต่ผมก็ไม่ทราบรายละเอียด ตลอดจนวิธีป้องกัน รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ ตอนนี้ผมใช้บราวเซอร์ Firefox 1.5 ทำงานบน Windows XP ครับ
ตอบ: Firefox Password Manager เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก โดยมันช่วยให้เราสามารถล็อกออนเข้าไปในเว็บไซต์ที่มีการป้องกันได้อย่างง่ายดาย แต่ในทางกลับกัน ยิ่งมันง่ายมากเท่าไรมันก็ยิ่งไม่ปลอดภัยเท่านั้น เนื่องจากใครก็ตามที่ใช้คอมพิวเตอร์ของคุณจะสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีระบบป้องกัน และสามารถดูพาสเวิร์ดทั้งหมดได้อย่างง่ายดายอีกด้วย สำหรับวิธีป้องกัน ผู้ใช้บราวเซอร์ Firefox ควรจะตั้งรหัสผ่านให้กับ Password Manager เพื่อให้เวลาที่เรียกใช้งาน (ไม่ว่าจะเป็นคุณ หรือใครก็ตาม) จะถูกร้องขอให้ป้อน Master password ในขั้นตอนแรกก่อน จากนั้นจึงจะสามารถล็อกออนเข้าสู่เว็บไซต์ที่ป้องกันได้



คลิกปุ่ม Set Master Password...


ยิ่งแท่งกราฟยาวเท่าไร รหัสผ่านที่ตั้งก็มีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

ขั้นตอนของการตั้ง Master password ใน Firefox ให้คลิกเมนู Tools เลือกคำสั่ง Options คลิกแท็บ Privacy คลิกปุ่ม Set Master Password แล้วพิมพ์รหัสผ่านเข้าไปใหม่ สังเกตที่ด้านล่างจะมีแท่งกราฟแสดงคุณภาพความแข็งแรงของพาสเวิร์ดที่ตั้ง (Quality Meter) ยิ่งแท่งกราฟที่เห็นในรูปยาวมากเท่าไร นั่นแสดงว่า พาสเวิร์ดที่ตั้งมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

ที่มา: www.arip.co.th

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Download: SpeeDefrag ดีแฟลกแบบเร่งด่วน

พวกเราต่างทราบกันดีว่า การทำดีแฟลก (Defragging) ให้กับคอมพิวเตอร์ เป็นขั้นตอนของการบำรุงรักษาเครื่องให้มีประสิทธิภาพการทำงานของระบบดีขึ้น และทุกท่านก็คงจะทราบดีว่า การทำดีแฟลกใช้เวลานานแค่ไหน บ่อยครั้งที่มันใช้เวลาไปทั้งสิ้น 3 – 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
คอลัมน์ดาวน์โหลดวันนี้จะช่วยลดความลำบากใจในการทำดีแฟลกให้ระบบ โดยยูทิลิตี้ที่จะแนะนำต่อไปนี้จะช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในการทำดีแฟลกลง ในขณะที่ผลลัพธ์ของการทำงานที่ได้ไม่ต่างจากโปรแกรมดีแฟลกของ Windows สำหรับโปรแกรมดังกล่าวมีชื่อว่า SpeeDefrag ซึ่งนอกจากมันจะสามารถทำดีแฟลกได้เร็วกว่าจนน่าตกใจแล้ว มันยังมีคุณสมบัติการทำงานบางอย่างที่อาจมีประโยชน์มากสำหรับผู้ใช้บางท่านอีกด้วย สาเหตุที่ทำให้ SpeeDefrag สามารถทำดีแฟลกได้เร็วกว่าเพื่อนก็คือ สิ่งที่มันทำก่อนการเริ่มดีแฟลกนั่นเอง กล่าวคือ SpeeDefrag จะรีสตาร์ทระบบก่อน เพื่อเริ่มทำงานเฉพาะโปรแกรม SpeeDefrag เพียงโปรแกรมเดียวเท่านั้น ซึ่งมันทำให้คุณลดเวลาในการทำดีแฟลกลงได้มากทีเดียว

ในส่วนของคุณสมบัติการทำงานเพิ่มเติมของโปรแกรมอย่างเช่น การกำหนดให้โปรแกรมดีแฟลกเฉพาะไดรฟ์ที่ต้องการ หรือแม้แต่กำหนดตารางเวลาในการทำดีแฟลกโดยอัตโนมัติ เช่น ช่วงพักเที่ยง เป็นต้น และสุดท้าย แต่ไม่ใช่ท้ายสุดก็คือ คุณสามารถตั้งเวลาให้ SpeeDefrag ชัตดาวน์ระบบหลังจากการทำดีแฟลกเสร็จเรียบร้อยแล้วได้อีกด้วย ซึ่งทำให้ปัญหาลืมปิดเครื่องหมดไป เช่น คุณสามารถสั่งดีแฟลก แล้วไปเข้านอนได้เลย พอตอนเช้า เครื่องจะชัตดาวน์ไปแล้ว และพร้อมเปิดใช้งานด้วยประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

windows: ต่ออายุ"พาสเวิร์ด"แล้ว?

คุณผู้อ่านทราบไหมครับว่า Windows XP Professional, Windows Vista Business และ Windows Vista Ultimate มาพร้อมกับคุณสมบัติที่อนุญาตให้ตั้งวันหมดอายุของพาสเวิร์ด (password) บัญชีผู้ใช้ได้ ปัญหาก็คือ เมื่อบัญชีผู้ใช้เครื่องหมดอายุลงโดยที่คุณไม่รู้วิธีเข้าไปแก้...จะทำอย่างไร?

สำหรับวิธีเข้าไปตั้งค่าให้พาสเวิร์ดไม่มีวันหมดอายุในกรณีที่ใช้ Windows Vista เวอร์ชันข้างต้น ให้เปิดหน้าแอดมินของ Local Users and Groups โดยพิมพ์คำสั่ง lusrmgr.msc ในช่องค้นหาของเมนู Start เลือก Users ในช่องซ้ายมือ แล้วดับเบิ้ลคลิ้กบนบัญขีผู้ใช้ของคุณ (ใน Windows XP ใช้คำสัง Run แทนกล่องค้นหา search box)


หน้าจอถัดมาคุณจะพบเช็คบ๊อกซ์ระบุว่า Password Never Expires ให้คลิกเลือกเครื่องหมายถูกหน้าข้อความนี้ดังรูป เพียงแค่นี้ก็เรียบร้อย


คราวนี้ถ้าคุณกำลังใช้ Windows XP หรือ Vista เอดิชั่น Home คุณต้องดาวน์โหลดยูทิลิตี้ User Manager สำหรับ XP/Vista Home แม้จะเป็นแชร์แวร์ แต่เวอร์ชันทดลองใช้จะสามารถแก้ปัญหาการหมดอายุของพาสเวิร์ดได้ครับ
ทิปจาก: arip.co.th

netbook: "คีย์ลัด-ประหยัดไฟ"

เน็ตบุ๊กส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับฟังก์ชันคีย์ (Function Key) ที่สามารถใช้งานร่วมกับปุ่ม Ctrl เพื่อปรับแต่งการทำงานของเครื่องได้ ซึ่งคีย์ลัดตัวแรกที่นำมาฝากนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานจากหน้าจอแสดงผลได้ นั่นก็คือ Ctrl+F5 เมื่อกดปุ่มนี้แสงสว่างที่หน้าจอเน็ตบุ๊กจะลดลง โดยเพียงแค่กด 1 - 2 ครั้ง คุณจะเห็นเวลาการใช้งานที่เหลือของแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากค่าตั้งความสว่างของจอที่โรงงานมักจะเป็นค่าสูงสุด เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความสว่างสดใส ในขณะที่ความเป็นจริงคุณไม่ได้ต้องการความสว่างมากขนาดนั้น ที่สำคญมันเป็นตัวการที่ทำให้แบตฯหมดเร็วอีกด้วย

ส่วนคีย์ลัดอีกอันหนึ่งที่นำมาฝากกันจะใช้สำหรับปิด WLAN เมื่อเวลาที่ไม่ได้ใช้เน็ตไร้สาย นั่นก็คือ
Ctrl+F11 ซึ่งเป็นคีย์ลัดทีพบในเน็ตบุ๊กส่วนใหญ๋ โดยเมื่อต้องการใช้เน็ตไร้สายก็กดปุ่มนี้อีกครั้ง นับว่าเป็นคีย์ลัดที่สะดวกมาก นอกจากนี้มันยังใช้ควบคุมการเปิดปิด Bluetooth ด้วยในตัว ซึ่งฟังก์ชันการเชื่อมต่อไร้สายทั้งสองเทคโนโลยีนี้จะสวาปามพลังงานของแบตเตอรี่แบบไม่เกรงใจ ดังนั้น ทุกครั้งที่นึกได้ว่า กำลังใช้เน็ตบุ๊กทำงานที่ไม่ต้องใช้เน็ต ก็รีบกดคีย์ Ctrl+F11 เพื่อปิดฟังก์ชันดังกล่าวทันที เพียงแค่นี้ คุณก็มีแบตฯ เหลือใช้กลับมาอีกตรึม ที่สำคัญ การเปิดฟังก์ชันไร้สายทิ้งไว้ โดยไม่ได้ใช้งาน ยังเท่ากับการเป็นการปิดประตูรอให้แฮคเกอร์ได้มีโอกาสเจาะระบบเข้ามาเดินเล่นในเครื่องของเราอีกด้วย...
ทิปจาก : www.arip.co.th

Windows: เปลี่ยนแบ็คกราวด์"ล็อกอิน"

ขั้นแรกให้คุณกดปุ่ม Windows+R เพื่อเปิดไดอะล็อกบ๊อกซ์ Run จากนั้นพิมพ์คำสั่ง REGEDIT แล้วกดปุ่ม Enter เมื่อหน้าต่างโปรแกรมปรากฎขึ้นมา ในกรอบด้านซ้ายมือให้คลิ้กเข้าไปในรายการตามลำดับข้างล่างนี้
HKEY_USERS\.DEFAULT\Control Panel\Desktop
จากนั้นสังเกตที่กรอบทางขวามือ มองหารายการที่มีชื่อว่า Wallpaper ดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการนี้ แล้วลบข้อมูลในนั้น (ซึ่งความจรงิก็คือ พาธที่เก็บไฟล์แบ็คกราวด์ของล็อกอินนั่นเอง) ก่อนที่จะใส่กลับเข้าไปด้วยพาธและชื่อไฟล์ภาพแบ็คกราวด์อันใหม่ของคุณ สำหรับอีกสองรายการที่เห็นจะเป็นวิธีการแสดงผล ซึ่งถ้าคุณดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการ TileWallpaper และ WallpaperStyle โดยกำหนดทั้งสองค่าให้เป็น 0 ภาพแบ็คกราวด์ใหม่ของคุณจะปรากฎตรงกลางหน้าจอ แต่ถ้าให้ TileWallpaper เป็น 1 ภาพจะถูกเรียงต่อกันจนเต็มหน้าจอ และถ้าทิ้งให้ TileWallpaper เป็น 0 แล้วเปลี่ยนค่า WindowspaperStyle เป็น 2 มันจะทำให้ไฟล์ภาพแบ็คกราวด์ของคุณถูกขยาย (หรือย่อ) จนพอดีกับขนาดของหน้าจอ
ทิปจาก : www.arip.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แก้ปัญหาเอ็กซ์พีไม่เห็นไดรฟ์ยูเอสบี

หลายๆ คนแขวนชีวิตไว้บนอุปกรณ์ยูเอสบีที่ใช้สำรองข้อมูล อย่างนายเกาเหลาเองก็มีอุปกรณ์พวกนี้ถึงสองตัวด้วยกัน ตัวหนึ่งเป็นแฟลชไดรฟ์ อีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเล่นเอ็มพีสาม และคาดว่ามือถือตัวใหม่ที่กำลังจะถอยออกมาด้วยเหมือนกัน

ปัญหาที่หลายๆ คนอาจจะเคยพบก็คือ อยู่ดีๆ อุปกรณ์เหล่านี้ก็ไม่ยอมทำงานกับพีซีเพื่อนรักเสียนี่ ถามผู้รู้บางคนก็โบ้ยว่า ไม่อุปกรณ์ USB ของเราเสีย ก็ส่วนควบคุมการทำงานของ USB มีปัญหา หรือบางทีพีซีเองนั่นแหละ แหม...เล่นตอบเหมาหมดอย่างนี้มันก็คงมีถูกบ้างอ่ะนะ แต่ความจริงก็คือ ผิดทุกข้อครับ เพราะมันไม่ได้มีอะไรเสีย ไดรฟ์ยูเอสบีก็ไม่เสีย เพราะไปลองกับเครื่องอื่น มันก็เวิร์ก ปัญหาคือ ความสับสนของการทำงานของระบบปฏิบัติการต่างหาก เนื่องจากในอดีตปัญหานี้จะเกิดกับไดรฟ์ CD/DVD เหมือนกัน และปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดจากความสับสนของรีจิสทรีที่อาจจะหายไป หรือก็ไม่ถูกต้อง ซึ่งสาเหตุอาจมาจากแอพพลิเคชันบางตัวที่ติดตั้งเข้าไป พยายามติดตั้งเงื่อนไขในการแยกแยะไดรเวอร์สำหรับชนิดของอุปกรณ์ยูเอสบี ส่วนใหญ่จะเกิดจากแอพพลิเคชันบันทึกข้อมูลลงบนแผ่น CD/DVD ของผู้ผลิตทั่วไป

การแก้ปัญหาสามารถทำได้โดยลบรีจิสทรีคีย์ที่เสียหาย หรือมีรูปแบบไม่ถูกต้องออกไป เพื่อให้ XP ตรวจจับอุปกรณ์ยูเอสบีของเราได้ใหม่อีกครั้งตามปกติ ขั้นตอนการลบรีจิสทรีคีย์ตัวปัญหามีดังนี้

- เปิดไดอะล็อกบ็อกซ์ Run (กดปุ่ม Windows + R) พิมพ์คำสั่ง regedit คลิ้กปุ่ม OK
- ในโปรแกรม Registry Editor คลิ้กเข้าไปที่
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\Class\ {4D36E980-E325-11CE-BFC1-08002BE10318}. [USB_Device_Stop_Working1.jpg]

- ลบคีย์ที่มีชื่อว่า UpperFilters หรือ LowerFilters
- จากนั้นให้คลิ้กเข้าไปที่

HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\Class\ {4D36E967-E325-11CE-BFC1-08002BE10318}. [USB_Device_Stop_Working2.jpg]


- ทำเหมือนข้อ 3 คือลบคีย์ UpperFilters หรือ LowerFilters
- รีบูตเครื่องคอมพิวเตอร์

ข้อควรทราบก็คือ เมื่อคุณลบรีจิสทรีคีย์ที่มีปัญหานี้ออกไป แอพพลิเคชันเขียนแผ่น CD/DVD ที่ใช้การเปลี่ยนค่าของคีย์ข้างต้น (UpperFIlters, LowerFilters) จะไม่สามารถทำงานได้ และคุณอาจจะต้องติดตั้งโปรแกรมพวกนี้เข้าไปใหม่
ทิปจาก : www.arip.co.th

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Firefox : ท่องเน็ตแบบไม่ทิ้งร่องรอย

หลังจากที่แอปเปิ้ลออก Safari ที่รันบน Windows ออกมา เพื่อนๆ นายเกาเหลาหลายคน ถึงกับออกปากชื่นชมฟีเจอร์ Private Browsing คุณสมบัติการทำงานที่ช่วยดูแลความเป็นส่วนตัวในการท่องเว็บตามที่ต่างๆ ให้กับเขา ซึ่งผู้ใช้เว็บบราวเซอร์หลายท่านก็คงต้องการเช่นเดียวกัน นายเกาเหลาไม่รู้สึกประหลาดใจ หรือตื่นเต้นไปด้วย เนื่องจากไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไรเลย ซึ่งถ้าเพื่อนๆ เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Firefox มันมีเอ็กซ์เท็นชันที่สามารถทำให้ผู้ใช้ท่องเน็ตโดยปราศจากการทิ้งร่องรอยให้ทราบได้มาตั้งนานแล้ว

Distrust คือชื่อของเอ็กซ์เท็นชันสำหรับ Firefox ที่ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับคอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆ ที่กลัวว่า จะมีใครมาเกาะแกะ รื้อค้นข้อมูลการท่องเว็บของเรา ซึ่งคนผู้นั้นจะต้องผิดหวังไปอย่างแน่นอน เพราะเจ้า Distrust จะปิดปากเงียบด้วยการทำให้ร่องรอยการท่องเว็บของเพื่อนๆ อันตรธานหายไป หรือไม่ถูกจัดเก็บไว้ตั้งแต่เริ่มท่องเน็ตในแต่ละครั้ง

สำหรับการรักษาความลับ หรือกำจัดร่องรอยการท่องเว็บโดย Distrust จะเริ่มต้นตั้งแต่ เพื่อนเปิดการทำงานของมัน โดยเจ้า Distrust สามารถปกป้องความเป็นส่วนตัวให้กับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น การยกเลิกการจัดเก็บข้อมูลเข้าไปในแคช (ทั้งปกติ และ SSL) การตั้งให้คุกกี้มีชีวิตการทำงานแค่ช่วงระหว่างการท่องเว็บเท่านั้น พอเลิกใช้มันจะถูกกำจัดทิ้ง การลบข้อมูลการท่องเว็บในอดีต (history) รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่ดาวน์โหลดมาจาก Download Manager ซึ่งปกติไฟล์ดาวน์โหลดจะค้างอยู่ในเครื่อง นายเกาเหลาว่า แค่นี้ การท่องเว็บของเพื่อนๆ ก็มีความเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ แล้วล่ะ

Firefox : ติดตั้งไม่ได้...เพราะไฟล์เสีย

ทิปนี้สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งหันมาใช้ Firefox หรือแม้แต่มือเก๋าก็อาจจะเคยประสบปัญหานี้กันมาบ้างแล้ว เรื่องของเรื่องก็คือ ผู้ใช้บางคนพบว่า หลังจากดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้ง Firefox จาก Mozilla มาเรียบร้อยแล้ว ขณะติดตั้งโปรแกรม ระบบกลับแจ้งข้อความผิดพลาดขึ้นมา โดยระบุว่า ไฟล์เสีย!!! (file is corrupt) หลายคนแก้ปัญหาด้วยการดาวน์โหลดไฟล์มาใหม่ แล้วลองติดตั้งอีกครั้ง แต่ก็ยังต้องพบกับปัญหาเดิมอีก
ก่อนอื่นนายเกาเหลาคงต้องบอกว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาข้างต้นนี้มีโอกาสได้มากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นผลมาจากการที่มีไฟล์ชั่วคราวในโฟลเดอร์ Temporary Internet Files มากเกินไป ซึ่งไม่ต้องแปลกใจสำหรับมือใหม่ที่มักจะบ่นว่า IE ทำงานช้ามาก ดังนั้น ขั้นแรกของการแก้ปัญหาลักษณะนี้ก็คือ อยากให้ลองลบไฟล์ชั่วคราวเหล่านี้ออกไปก่อน โดยใน IE คลิ้กเมนู Tools เลือกคำสั่ง Internet Options คลิ้กปุ่ม Delete ในเซกชัน Browsing history จากนั้นคลิ้กปุ่ม Delete files ที่อยู่ในเซกชัน Internet Temporary Files ที่อยู่บนสุด หลังจากลบไฟล์ชั่วคราวออกหมดแล้ว คลิ้กปุ่ม Close ตามด้วยปุ่ม OK เป็นอันเรียบร้อย
นอกจากนี้ อยากให้ตรวจสอบระบบด้วยว่า มีไฟร์วอลล์แค่ตัวเดียวที่กำลังทำงานอยู่ในระบบขณะนั้น ซึ่งหากมี 2 ตัว โดยตัวหนึ่งเป็น Windows Firewall ให้ปิดการทำงานของไฟร์วอลล์ตัวนี้ลงไปก่อน เพราะมันค่อนข้างจะมีปัญหากับชาวบ้านพอสมควรหากแก้ปัญหาด้วยสองวิธีข้างต้นแล้ว ยังไม่สามารถติดตั้ง Firefox ได้อีก นายเกาเหลาว่า ปัญหาอาจจะอยู่ที่การ์ดเน็ตเวิร์กที่ใช้ ซึ่งโอกาสน้อยมาก ทางแก้คือ ตรวจสอบที่เว็บไซต์ของผู้ผลิต ในกรณีที่ใช้ระบบเครือข่ายไร้สาย ขณะติดตั้ง Firefox ลองเปลี่ยนมาใช้การเชื่อมต่อกับโมเด็ม ADSL โดยตรงดูนะครับ และทั้งหมดคือแนวทางที่นายเกาเหลาเชื่อว่า น่าจะช่วยให้หมดปัญหาการติดตั้ง Firefox ไม่ได้แล้วนะครับ

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Windows XP : ชอร์ตคัตสำหรับรีสตาร์ต

ชอร์ตคัต ยังคงเป็นที่ต้องการสำหรับมือใหม่อีกหลายๆ คน เพราะบางทีการที่จะให้มานั่งจำว่า ต้องกดหลายๆ ปุ่มพร้อมกัน หรือมีขั้นตอนการคลิ้กเกินกว่า 3 ครั้ง แถมแต่ละครั้งมีไดอะล็อกบ็อกซ์พร้อมปุ่มต่างๆ ให้ต้องตัดสินใจอีก ถ้าคลิ้กผิดก็อาจสร้างความเสียหายตามมาอีก สารพัดความกลัวที่มือใหม่มีต่อการใช้งาน ซึ่งความจริงมันไม่ได้ยากเลย แต่เมื่อเป็นความต้องการของเพื่อนๆ แล้ว นายเกาเหลาจะปฏิเสธได้อย่างไร จริงมั้ยครับ ?

ก่อนหน้านี้ นายเกาเหลาเคยแนะนำวิธีสร้างชอร์ตคัตสำหรับชัตดาวน์ระบบมาแล้ว แต่ก็ไม่วาย ล่าสุดมีผู้อ่านอยากได้ชอร์ตคัตไว้สำหรับรีสตาร์ตระบบ ว่าแล้วเข้าเรื่องเลยดีกว่า ขั้นแรกคลิ้กขวาบนเดสก์ทอป เลือกคำสั่ง New, Shortcut จากนั้นในช่อง Type the location of the item ให้พิมพ์คำสั่งข้างล่างนี้เข้าไปครับ

%windir%\System32\shutdown.exe –r

คลิ้กปุ่ม Next ตั้งชื่อชอร์ตคัตว่า Restart ในช่อง Type a name for this shortcut แล้วคลิ้กปุ่ม Finish เพียงแค่นี้ คุณก็ได้ไอคอนชอร์ตคัตสำหรับรีสตาร์ตระบบแล้ว ไม่เชื่อก็ลองดับเบิลคลิ้กบนชอร์ตคัตอันนี้ เพื่อนๆ จะเห็นว่า ระบบจะรีสตาร์ตตัวเอง

ข้อสังเกต: ความลับของชอร์ตคัต Restart อยู่ที่สวิตช์ของคำสั่ง shutdown.exe นั่นก็คือ –r ซึ่งในกรณีของชอร์ตคัตสำหรับชัตดาวน์นั้น สวิตช์ที่ใช้จะเป็น –s คงจะจำกันได้นะครับ
ทิปจาก : www.arip.co.th

Vista : ยกเลิก Windows Key

สำหรับผู้ใช้ที่เปิดเครื่องที่ให้บริการเน็ตคาเฟ่ อาจจะสนใจทิปนี้นะครับ เพราะปัจจุบันผู้ใช้เดี๋ยวนี้รอบรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอะไรให้คลิ้ก ก็รู้จักใช้คีย์ลัดต่างๆ โดยเฉพาะการใช้ปุ่ม Windows ร่วมกับปุ่มต่างๆ บนคีย์บอร์ด เพื่อเปิดโน่นเปิดนี่ไปเรื่อย เช่น Windows+E เปิด Explorer และ Windows + Break เปิด

ไดอะล็อกบ็อกซ์ System Properties เป็นต้น เรียกได้ว่า พวกเขาสามารถรื้อค้นทุกอย่างในเครื่องได้ โดยไม่ง้อไอคอน คอนเท็กซ์เมนู (คลิ้กขวาบนเดสก์ทอป) แต่อย่างใด ขอแค่ปุ่มบนคีย์บอร์ดไม่มีปัญหาก็พอ ทิปต่อไปนี้จะช่วยสกัดพวกมือซนจากการใช้ปุ่ม Windows Key โดยเราจะยกเลิกการทำงานของปุ่มนี้ซะเลย

พระเอกของเรายังคงเป็น Registry Editor เช่นเคย โดยเราจะเข้าไปแก้ไขให้ระบบปฏิบัติการเข้าใจว่า ไม่มีปุ่ม WinKey นั่นเอง ขั้นแรกเปิดโปรแกรมด้วยการพิมพ์คำสั่ง regedit.exe ในไดอะล็อกบ็อกซ์ Run (หรือพิมพ์เข้าไปในช่อง Search แล้วกดปุ่ม Enter) เมื่อหน้าต่างโปรแกรมเปิดขึ้นมา ในกรอบทางด้านซ้ายมือ ให้คลิ้กเข้าไปที่

HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\ CurrentVersion\Policies\Explorer
เมื่อเข้าไปถึงชั้นของรายการ Explorer แล้ว ให้คลิ้กบนที่ว่างในกรอบทางขวามือของหน้าต่างโปรแกรม เลือกคำสั่ง New ตามด้วย 32-bit DWORD value ตั้งชื่อเป็น NoWinKeys พร้อมทั้งกำหนดค่าให้เป็น 1


ให้คลิ้กปุ่ม OK แล้วปิดโปรแกรม Registry Editor จากนั้นรีสตาร์ต Explrer อีกครั้ง ด้วยการล็อกออฟออกจากระบบ แล้วล็อกออนเข้ามาใหม่ คราวนี้ ลองกดปุ่ม WinKey ร่วมกับคีย์ลัดต่างๆ เช่น WinKey + E คุณก็จะพบว่า มันไม่เปิดหน้าต่าง Explorer ให้กับคุณอีกต่อไปแล้ว

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ลบไฟล์ขยะ หลังจากเลิกเล่นเน็ต ช่วยลดปัญหาไวรัสได้

เวลาเราเข้าเว็บไซต์ต่างๆ โปรแกรม IE ก็จะทำการ download ข้อมูลมาเก็บไว้ในเครื่องของเราก่อน จากนั้นถ้าเราเลิกเล่น ไฟล์เหล่านี้ก็จะค้างในเครื่องของเรา นอกจากปัญหาไฟล์ในเครื่องที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เนื้อที่ใน harddisk ของเราไม่เพียงพอแล้ว อาจมีไวรัสแอบแฝงเข้ามาในเครื่องคอมฯ ของเราได้ด้วย ดังนั้นวิธีการจัดการอย่างหนึ่งที่ง่ายก็คือ กำหนดให้โปรแกรม IE ลบไฟล์ขยะเหล่านี้อัตโนม้ติทุกครั้งที่ปิดโปรแกรม สำหรับขั้นตอนก็สั้นๆ ครับ เพียงทำตามรายละเอียดข้างล่างนี้

วิธีกำหนดให้ลบไฟล์ขยะจากอินเตอร์เน็ตแบบอัตโนมัติ

1. คลิกเมนู Tools
2. เลือกคำสั่ง Internet Options
3. คลิกเลือกแท็ป Advanced
4. เลื่อนลงมาที่หัวข้อ Security
5. จากนั้น คลิกหัวข้อ Empty Temporaly Internet Files Folder when browser is closed


6. กดปุ่ม Apply อีกครั้งเพื่อยืนยัน
7. แล้วนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

ข้อมูลเพิ่มเติม::

ส่วนดีของการที่โปรแกรม IE มีการ download ไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่องของเรา ทำให้การใช้งานในครั้งต่อไป สามารถเปิดดูรายละเอียดในเว็บนั้นๆได้เร็วขึ้น เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการ download ซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม ควรเปรียบเทียบผลดี ผลเสียกันเอาเองน่ะครับ แต่ถ้าให้ผมฟันธงเลย ขอตอบว่าลบไปเลยดีกว่าครับ.. ทิปจาก : http://www.it-guides.com/

ยกเลิก System Restore Windows XP

System Restore เป็นความสามารถในการแก้ไขปัญหาของ Windows โดยเราสามารถทำการย้อนอดีตของการทำงานของ Windows ได้ ก่อนที่จะเกิดปัญหา อย่างไรก็ตาม System Restore ก็อาจทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่างได้เช่น ทำให้เปลืองเนื้อที่ใน Harddisk และอาจเป็นที่เก็บไวรัสได้เช่นกัน การแก้ไขปัญหาไวรัสหลายๆ ตัว จำเป็นจะต้องยกเลิกคุณสมบัตินี้

ขั้นตอนการยกเลิก System Restore

1. คลิกขวาที่ My Computer
2. คลิกเลือก Properties
3. คลิกเลือกแท็ป System Restore
4. คลิกเลือก Turn off System Restore on all drives


5. คลิกปุ่ม OK เพื่อยืนยันอีกครั้ง
แค่นี้ เราก็จะมีพื้นที่ใน Harddisk เพิ่มขึ้น และแก้ไขปัญหาไวรัสได้ระดับหนึ่งด้วย เช่นกัน
ทิปจาก : http://www.it-guides.com/

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตั้งความละเอียดเหมาะสมช่วยประหยัดหมึกได้

งานพิมพ์ในระบบเลเซอร์ทั้งสีและขาวดำนั้น หากคุณต้องการประหยัดหมึกในทุกวิถีทางแล้วละก็ การกำหนดความละเอียดของงานพิมพ์ช่วยได้แน่ เช่น หากพิมพ์แค่เอาสารทั่วไปก็ไม่ควรไปกำหนดถึงระดับ 600 dpi เพราะสายตาคนเราแทบจะมองเห็นความแตกต่างไม่ได้เลยหรืองานพิมพ์ภาพก็เช่นเดียวกัน ที่โหมด 1200x1200 dpi อาจเปลืองหมึกมากเกินไปถ้าภาพกราฟิกของคุณมีความละเอียดไม่มาก ให้ใช้แค่ 600 dpi ก็พอ
ทิปจาก : หนังสือ COMPUTER.TODAY

เรื่องเดิม ๆ แต่ไม่เคยตกยุคเกี่ยวกับไวรัส

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer virus) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ
ไวรัสคือไวรัสเป็นโปรแกรมประเภทที่สามารถแพร่ขยายตัวเองได้ วิธีการในการจำแนกว่าส่วนของโปรแกรมนั้นเป็นไวรัสหรือไม่ นั้นดูจากการที่โปรแกรมสามารถแพร่กระจายตัวได้โดยผ่านทางพาหะ (โฮสต์)
บ่อยครั้งที่ผู้คนจะสับสนระหว่างไวรัสกับเวิร์ม เวิร์มนั้นจะมีลักษณะของการแพร่กระจากโดยไม่ต้องพึ่งพาหะ ส่วนไวรัสนั้นจะสามารถแพร่กระจายได้ก็ต่อเมื่อมีพาหะนำพาไปเท่านั้น เช่น ทางเครือข่าย หรือทางแผ่นดิสก์ โดยไวรัสนั้นอาจฝังตัวอยู่กับแฟ้มข้อมูล และเครื่องคอมพิวเตอร์จะติดไวรัสเมื่อมีการเรียกใช้แฟ้มข้อมูลนั้น
เนื่องจากไวรัสในปัจจุบันนี้ได้อาศัยบริการเครือข่ายบนคอมพิวเตอร์ เช่น เวิลด์ไวด์เว็บ อีเมลล์ และระบบแฟ้มข้อมูลร่วมในการแพร่กระจากด้วย จึงทำให้ความแตกต่างของไวรัสและเวิร์มในปัจจุบันนั้นไม่ชัดเจน
ไวรัสสามารถติดพาหะได้หลายชนิด ที่พบบ่อยคือ แฟ้มข้อมูลที่สามารถปฏิบัติการได้ของซอฟต์แวร์ หรือส่วนระบบปฏิบัติการ ไวรัสสามารถติดไปกับบูตเซ็กเตอร์ของแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ แฟ้มข้อมูลประเภทสคริปต์ ข้อมูลเอกสารที่มีสคริปต์มาโคร นอกเหนือจากการสอดแทรกรหัสไวรัสเข้าไปยังข้อมูลดั้งเดิมของพาหะแล้วไวรัสยังสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลเดิมในพาหะ และอาจแก้ไขให้รหัสไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานเมื่อพาหะถูกเรียงใช้งาน
ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์บูตไวรัสบูตไวรัส (Boot Virus) คือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่เข้าสู่เป้าหมายในระหว่างเริ่มบูตเครื่อง ส่วนมากมันจะติดต่อเข้าสู่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ระหว่างกำลังสั่งปิดเครื่อง เมื่อนำแผ่นที่ติดไวรัสนี้ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไวรัสก็จะเข้าสู้เครื่องคอมพิวเตอร์ตอนเริ่มทำงานทันทีบูตไวรัสจะติดต่อเข้าไปอยู่ส่วนหัวสุดของฮาร์ดดิสก์ ที่มาสเตอร์บูตเรคอร์ด (Master Boot Record ) และก็จะโหลดตัวเองเข้าไปสู่หน่วยความจำก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะเริ่มทำงาน ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไฟล์ไวรัสไฟล์ไวรัส (File Virus) ใช้เรียกไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม
ไวรัสมาโครไวรัสมาโคร (Macro Virus) คือไวรัสที่ติดไฟล์เอกสารชนิดต่างๆ ซึ่งมีความสามารถในการใส่คำสั่งมาโครสำหรับทำงานอัตโนมัติในไฟล์เอกสารด้วย ตัวอย่างเอกสารที่สามารติดไวรัสได้ เช่น ไฟล์ไมโครซอฟท์เวิร์ด ไมโครซอฟท์เอ็กเซล เป็นต้น
โทรจันมาโทรจัน (Trojan) คือโปรแกรมจำพวกหนึ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแอบแฝง การะทำการบางอย่างในเครื่องของเรา จากผู้ที่ไม่หวังดี ชื่อเรียกของโปรแกรมจำพวกนี้ มาจากตำนานของมาไม้แห่งเมืองทรอยนั่นเอง ซึ่งการติดตั้ง ไม่เหมือนกับไวรัส และหนอน ที่จะกระจายตัวได้ด้วยตัวมันเอง แต่โทรจันจุถูกแนบมากับอีการ์ด อีเมล์ หรือโปรแกรมที่มีให้ดาวน์โหลดตามอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ใต้ดิน และสุดท้ายที่มันต่างกับไวรัสและเวิร์ม คือ มันจะสามารถเข้ามาในเครื่องของเรา โดยที่เราเป็นผู้รับมันมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
หนอนหนอน (Worm) เป็นรูปแบบหนึ่งของไวรัส มีความสามารถในการทำลายระบบในเครื่องคอมพิวเตอร์สูงที่สุดในบรรดาไวรัสทั้งหมด สามารถกระจายตัวได้รวดเร็ว ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าหนอนนั้น คงจะเป็นลักษณะของการกระจายและทำลาย ที่คล้ายกับหนอนกินผลไม้ ที่สามารถกระจายตัวได้มากมาย รวดเร็ว และเมื่อยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ระดับการทำลายล้างยิ่งสูงขึ้นการป้องกันโปรแกรมป้องกันไวรัส (Antivirus Software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ (ต่อจากนี้จะเรียกว่าไวรัส) จากผู้ไม่หวังดีทางอินเทอร์เน็ต โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบใหญ่ๆ1. แอนติไวรัส เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆ ไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา2. แอนติสปายแวร์ เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adware ซึ่งเป็นป๊อบอัพโฆษณาอีกด้วโปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆ วันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นเสมอ ทำให้เราต้องอัพเดทโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัพเดทและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัส 2 ตัว เพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
ข้อมูลจาก : หนังสือ COMPUTER.TODAY

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Vista : เสกไดรฟ์ให้ล่องหน...

บังเอิญนายเกาเหลาได้ไปพบทิปที่น่าสนใจก็เลยหยิบนำมาฝาก ซึ่งไอเดียของทิปนี้ก็คือ การซ่อนไดรฟ์ที่ใช้งานอยู่ไม่ให้แสดงผลในหน้าต่าง My Computer ของ Vista เนื่องจากบางครั้งเราก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่า เรามีไดรฟ์ที่ใช้งานได้อยู่อีกไดรฟ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี การซ่อนที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลต่อการทำงานของไดรฟ์แต่อย่างใด ซึ่งนั่นหมายความว่า เรายังคงสามารถเข้าถึงไดรฟ์นี้ได้ ด้วยการพิมพ์พาธ (path) ที่ถูกต้อง ในที่นี้จะยกตัวอย่างการซ่อนไม่ให้วิสต้าแสดงไอคอนของฟลอปปี้ไดรฟ์ A:

ขั้นแรกเราต้องเตรียมระบบให้พร้อมสำหรับการซ่อนไดรฟ์ของเราก่อน โดยเปิดโปรแกรม Registry Editor (ในช่อง Run พิมพ์คำสั่ง regedit.exe) จากนั้นในกรอบด้านซ้ายมือของหน้าต่างโปรแกรมคลิ้กเข้าไปที่
HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer
ถ้าชั้นในสุดไม่พบคีย์ Explorer ให้คลิ้กขวาบนรายการ Policies เลือกคำสั่ง New Key แล้วตั้งชื่อ Explorer

เสร็จแล้วในกรอบทางด้านขวามือให้คลิ้กขวาเลือกคำสั่ง New ตามด้วย 32-bit DWORD พร้อมทั้งตั้งชื่อว่า NoDrives ค่าที่สร้างขึ้นนี้จะเป็นตัวเลข 32 บิต โดยบิตต่างๆ จะถูกจัดเรียงลำดับย้อนศรการเรียงตัวอักษร A ถึง Z ดังนี้
ในกรณีนี้เราต้องการซ่อนไดรฟ์ A: ค่าที่ได้จึงเป็น 1 ในเลขฐานสิบ (Decimal) หากต้องการซ่อนไดรฟ์ D: ค่าที่ได้ก็จะเป็น 1000 ในเลขฐานสองหรือ 8 ในเลขฐานสิบนั่นเอง เราสามารถซ่อนได้มากกว่าหนึ่งไดรฟ์พร้อมกัน เช่น ถ้าต้องการซ่อนทั้งไดรฟ์ A: และ D: ค่าของ NoDrives ก็คือ 1001 หรือ 9 นั่นเอง ไม่ยากนะครับ
กลับมาที่ตัวอย่าง ซึ่งเราต้องการซ่อนไดรฟ์ A เพียงไดรฟ์เดียว ดังนั้น ค่าที่กำหนดให้กับ NoDrives จึงเป็น 1 คลิ้กปุ่ม OK แล้วปิดโปรแกรม

ขั้นตอนต่อมาก็คือ การรีสตาร์ตโปรแกรม explorer.exe ซึ่งสามารถทำได้ใน Task Manager หรือจะใช้วิธีล็อกออฟ แล้วล็อกอินกลับเข้ามาอีกครั้ง โดยหลังจากรีสตาร์ตเสร็จแล้วคุณจะพบว่า ไอคอนไดรฟ์ A: ใน My Computer ได้ล่องหนไปเรียบร้อยแล้ว

สำหรับการแก้ไขกลับคืนก็สามารถทำได้โดยเข้าไปลบคีย์ NoDrives ออกไป แล้วรีสตาร์ต explorer.exe ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม...อ้อ ผู้รู้บอกว่า ทิปนี้เวิร์กใน XP ด้วยเหมือนกันครับ
ทิปจาก : www.arip.co.th

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Hardware : คืนชีพแฟลชไดรฟ์

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมีธัมบ์ไดรฟ์ หรือแฟลชไดรฟ์ไว้สำรองข้อมูลกันแทบทุกคน โดยเฉพาะเพื่อนๆ สมาชิกคอมพิวเตอร์.ทูเดย์ เพราะทางนิตยสาร เพิ่งจะแจก “กิ๊ก” (แฟลชไดรฟ์ความจุ 1กิกะไบต์) ให้กับสมาชิกราย 2 ปี ซึ่งยี่ห้อนี้ดีมากๆ ขอบอก! (อันนี้นายเกาเหลาไม่ได้ค่าโฆษณา หรือค่าบทความเพิ่มแต่อย่างใด)

อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่า หน่วยความจำสำรอง ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์ หรือโซลิดสเตท ก็ไม่อาจหนีสัจธรรมที่ว่า ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง สังขารไม่เที่ยง แฟลชไดรฟ์ก็มีโอกาสที่จะพัง หรือเกิดข้อผิดพลาดจนใช้การไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่โอกาสน้อยกว่าฮาร์ดไดรฟ์เท่านั้น พวกเราเคยฟังเรื่องของการกู้ข้อมูล หรือคืนชีพให้ฮาร์ดดิสก์ด้วยวิธีต่างๆ มามากแล้ว ตั้งแต่ใช้ซอฟต์แวร์แก้ไขไปจนถึงแช่ตู้เย็น ??? แต่ครั้งนี้นายเกาเหลามีวิธีคืนชีพแฟลชไดรฟ์มาฝากเพื่อนๆ ครับ

ปัญหาแฟลชไดรฟ์เดี๊ยงในลักษณะที่พอจะเยียวยาได้ สาเหตุ และอาการที่พบก็คือ ในขณะที่ต่อธัมบ์ไดรฟ์ถ่ายโอนไฟล์อย่างเมามันอยู่นั้น จู่ๆ Windows XP ก็แช่แข็งตัวเองซะงั้น พอบูตเครื่องเสร็จ My Computer ตรวจพบว่า ธัมบ์ไดรฟ์มีความจุเหลือ 0 เมกะไบต์ แม้จะพยายามฟอร์แมตมันใหม่ก็ไม่สำเร็จ...หรือจะซื้อของใหม่ไปเลย

อย่างไรก็ตาม ก่อนด่วนตัดสินใจทำเช่นนั้น นายเกาเหลาอยากให้ลองใช้วิธีต่อไปนี้ดูก่อนจะดีไหมครับ อย่างน้อยจะได้ถือว่า พยายามแล้ว โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. ดาวน์โหลด และติดตั้งยูทิลิตีชื่อว่า HP Drive Key Boot ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ ดับเบิลคลิ้กไอคอนโปรแกรมบนเดสก์ทอป เลือกแฟลชไดรฟ์ที่ต้องการซ่อม ภายใต้เซ็กชัน Device
2. เลือกระบบไฟล์ที่ต้องการฟอร์แมตให้กับไดรฟ์ ซึ่งได้แก่ FAT, FAT32 หรือ NTFS
3. เลือกเช็กบ็อกซ์ Quick Format
4. คลิ้กปุ่ม Start ของโปรแกรม

หลังจากฟอร์แมตเสร็จแล้ว ทดลองใช้งานดูนะครับ ซึ่งถ้ายังไม่ได้ ให้เพื่อนๆ ทดลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. เชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับพอร์ตยูเอสบี
2. เรียกโปรแกรม HP Drive Key Boot Utility ภายใต้โฟลเดอร์ HP System Tools
3. โปรแกรมจะแนะนำขั้นตอนการแฟลชเฟิร์มแวร์ ตลอดจนการทำให้บูตได้ เพียงแค่คลิ้กตามขั้นตอนของมันเท่านั้นครับ
4. ในระหว่างที่โปรแกรมสอบถามเกี่ยวกับแฟลชไดรฟ์ จะมีการร้องขอให้เลือกชื่ออักษรไดรฟ์ที่แฟลชไดรฟ์ใช้อยู่ (E:, F:…) ถ้าดรอปดาวน์ของโปรแกรมไม่มีการแสดงชื่ออักษรของแฟลชไดรฟ์ออกมา นั่นอาจหมายความว่า แฟลชไดรฟ์เสียบไม่แน่น หรือเป็นแฟลชไดรฟ์ที่โปรแกรมมองว่าเป็นชนิด “fixed disk” วิธีตรวจสอบว่า แฟลชไดรฟ์ของเพื่อนอยู่ในสถานะใด สามารถทำได้โดยดับเบิลคลิ้กบนไอคอน My Computer บนเดสก์ทอป คลิ้กขวาบนไอคอนของแฟลชไดรฟ์ตัวปัญหา เลือกคำสั่ง Properties ชนิดของไดรฟ์จะแสดงขึ้นมา ถ้าไดรฟ์ถูกระบุว่า เป็น “fixed disk” หรือ “local disk” ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการกำหนดชื่ออักษรไดรฟ์ (drive letter) ให้กับแฟลชไดรฟ์ของคุณ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนต่อไปนี้ก่อน จึงจะไปใช้ HP Drive Key Boot Utility ได้ครับ รายละเอียดมีดังนี้

เชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับพอร์ต USB
1. ล็อกอินระบบเป็น Administrator
2. เลือก Start -> Control Panel -> Administrative Tools -> Computer Management
3. เลือก Computer Mangagement (local) -> Storage -> Disk Management (local)
4. เลือก Change/Add Drive Letter สำหรับแมปดิสก์ให้กับแฟลชไดรฟ์
5. เลือกชื่ออักษรไดรฟ์ที่ต้องการ

ปกติซอฟต์แวร์ HP Drive Key Boot Utility ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับไดรฟ์ของ HP เท่านั้น แต่มันดูเหมือนว่าจะสามารถใช้ฟอร์แมตแฟลชไดรฟ์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในท้องตลาดได้ด้วย แม้แต่การ์ดหน่วยความจำของกล้องดิจิตอล นายเกาเหลาแนะนำทิปนี้ ก็เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการแก้ปัญหาเท่านั้น ซึ่งหากมันใช้ได้กับผู้ที่กำลังประสบปัญหาในลักษณะนี้อยู่ ก็น่าจะเป็นการดียิ่ง แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่ได้เจอปัญหานี้ อย่างน้อยที่สุด คุณผู้อ่านก็ได้ทราบว่า ปัญหานี้ยังมีโอกาสแก้ไขได้เหมือนกัน ขอให้โชคดีนะครับ


ทิปจาก : www.arip.co.th